1

1
2

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

วารสารเล่มที่...3...











“ความคิด” คือ สาเหตุแรก
“การเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังจะ...ทำ” คือ สาเหตุที่สอง
สาเหตุที่สาม คือ “การลงมือ...ทำ” “...ทำในสิ่งที่คุณ ต้องการ จะ...ทำ และรู้อยู่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จ”







ขอขอบคุณห้องคอม ฯ
โรงเรียนสามารดีวิทยา
และอาจารย์ที่ให้คำปรึกษาทุกท่าน


































ชวนคุย

"อัสลามูอาลัยกุมวาเราะฮฺมาตุ้ลลอฮีวาบารอกาตุฮฺ " ขอความสันติสุข แด่พี่น้องชาวนักอ่านทุกคน....ก่อนอื่นก็ต้องขอشكر ต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ)ที่อัลลอฮฺนั้นให้ยังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ دان ยังให้เราอยู่ในศาสนาที่เที่ยงแท้ คือ ศาสนาالإسلام ( อัล-อิสลาม)...และผมขอสวัสดีพี่น้องนักอ่านที่มีเกียตริที่เคารพรักทุกท่าน สำหรับช่วงนี้ساي มีเรื่องที่จะบอกกล่าวANDพูดคุยและซักถามกับท่านผู้อ่านสักหน่อย……….?
ก่อนอื่นผมต้องขออภัยโทษจากท่านผู้อ่านทุกคน ที่วารสารประจำเดือนธันวาคม ไม่ได้ออกมาให้ท่านผู้อ่านREAD ติดต่อกัน เพราะว่าผมมั่ยว่างCHINGๆ แต่...อินชาอัลลอฮฺต่อไปนี้ผู้อ่านจะได้อ่านวารสารฯ ติดต่อกันทุกเดือนแน่
วาสารเล่มนี้จะเป็นคอลัมน์ของ เกร็ดสุขภาพ -วิทยาศาสตร์การทดลองและความรู้ทั่วปัย สามารถอ่านดั้ยทุกเพศทุกวัยหลังจากที่พี่น้องดายอ่านวารสารฯเล่มที่2กันไปแล้วรู้สึกอย่างรัยบางครับมีเนื้อหาโดนจัยท่านผู้อ่านหมัยครับถ้ามั่ยโดนจัยผู้อ่านสามารถบอกกับทางชมรมฯได้ เพื่อทำให้ทางชมรมฯจะได้ปรับปรุงรสชาติให้อร่อยกว่านี้...ต่อไปนี้ตอนทายสุดของวารสารฯ ทางชมรมฯเปิดจัยให้กับผู้อ่านทุกคนสามารถเขียนเรื่องราวของตนเองในเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องราวของคุณก็จะถูกคัดลงในวารสารเล่มต่อไป ..อินชาอัลลฮฮฺ ทางชมรมฯหวังว่าผู้อ่านคงเขียนกันมาเยอะนะ....อิๆๆๆๆ.........
 LOVE ผู้ READ เพื่อ ALLAH 
ที่ปรึกษา
อ.ยูโซฟ ปาโห๊ะ
มูหัมหมัดรุสดี อัลมะอาริฟีย์
บอกอ
สุวิทย์
สมาชิกอาจารย์
อ.ซอลีฮะห์
อ.ฮามีดะห์

MY FAMILY
อัรฮัม อีแต ศอดิก เซ็งดุยะ มูฮัมหมัด ซายามะ
ม.ลุตฟี เวาะแห ม.ฟัรฮาน มาปะ ม.อาเสม มาปะ
สุวิทย์ สุขแสง ฮัมดี แลฮา ฟุรกอน เวาะแห
มุตตากีน อามิง อัฟฟาน ยี่งอ อัมรี ดือราแม
ซ้อฟวรรณ หะยีอารง นูรูดิง ดารี อิมรอน ดือราแม
ฮาฟิซ หมาดจามัง ม.มัรฎี การี อะฮ์หมัด อาแว
ฮัยตามี เจ๊ะมะ ม.ยัดวี ยูโซะ คอเละ มะสง
อับดุลมุห์เซ็น ยูโซะ มารูวัน ดากอฮา มูฮำหมัด อัซซอมาดีย์
อัฟฟาน โตะดง มูฮัยมี อาแวยี่งอ มุสตากีม เจ๊ะนิ
กฤษดา รำมะสิทธิ์ มัรวัน มะลี
ใครมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ssc.keesongsai@windowslive.com
หรือหาข้อมูลได้ที่ www.ssckeesongsai.blogspot.com
โทร...084-6337285


วัยรุ่น จัย ร้อน An-Nur journal 23
สำหรับ”ตุ๋ย” แล้ว เขาคือน้องใหม่สำหรับวงการของพี่โต เขาได้สมัครเข้ามาเป็นลูกสมุนของพี่โตก็เดือนกว่าแล้ว แต่ยังไม่เคยได้เหยียบน้ำลายของพี่โตเลยสักครั้ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งของเขา คือท้ายแถวนั้นเอง ตุ๋ยเองก็รู้สึกโมโหตัวเองอยู่เหมือนกันว่า เขาเข้ามาในวงการปาไป3เดือนกกว่าแล้ว แต่ยังไม่ได้เหยียบน้ำลายพี่โตเลยสักครั้งเดียว และตุ๋ยก็มาได้ยินพวกพี่คุยอวดตัวเองกัน ตุ๋ยก็เริ่มไม่พอใจกับตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
มีอยู่วันหนึ่ง พี่โตได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้าน และได้เชิญบรรดาเพื่อนๆนักเลงที่เป็นเพื่อนกับพี่โต ที่อยู่ในแคว้นต่างๆมาในงานเลี้ยงด้วย ลูกสมุนของพี่โตแต่ละคนก็จะมีหน้าที่ ที่แตกต่างกันไป บางคนก็คอยเช็ดโต๊ะ บางคนก็ทำอาหาร แต่สำหรับตุ๋ยนั้นเขามีหน้าที่ตักน้ำแข็งเติมให้เต็มอยู่ตลอด และก็คอยเสริฟอาหารไปพรางๆด้วย ในขณะที่ทุกคนกำลังทำงานอย่างแข่งขันนั้น ก็ได้ยินเสียงโครมครามที่โต๊ะอาหารใหญ่ในงานเลี้ยง ลูกน้องทุกคนจึงรีบวิ่งเข้าไปดู ปรากฏว่าเท้าของพี่โตกำลังเหยียบบนอกของใครบางคน
“มึงเป็นใครว่ะ”
“เออ... พี่โตครับ เขาเป็นเด็กใหม่ชื่อ ตุ๋ย ครับ”
“แล้วมึงกล้าดียังไงที่มาถีบปากกูว่ะ”
“ผมไม่ได้ถีบครับ”
“แล้วนี่มันรอยอะไรว๋ะ” พี่โตโชว์ปากตัวเองที่มีรอยรองเท้าให้ดู.
“ก็ผมเห็นพี่โตกำลังจะถุยน้ำลาย ผมกลัวว่าถ้าน้ำลายตกพื้นแล้ว ผมจะไม่ได้เหยียบน้ำลายของพี่โต ครับ”
เพราะความใจร้อนของเขา คอยลุ้น ครับว่า หลังจากนี้ ตุ๋ยจะโดนอะไรอีกบ้าง Bangkok Noi …เขียน






เรื่อง.....................................................................................หน้า

“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง” 1
“กินถั่วเป็นประจำช่วยให้สุขภาพดี” 6
“ (อย.)เตือนน้ำมันทอดซ้ำ อันตรายถึงขั้นมะเร็ง” 8
“มดตัวน้อย ตัวนิด” 10
“อุณหภูมิ” 11
``Moss(มอส)” 12
“เรือนกระจก” 12
“มั่ยอยากจะเชื่อเลย” 13
“นาซ่า ทำลายสถิติ เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก
(เร็วกว่าเสียงเกือบ 10เท่า)” 15
“LHC (Large Hadron Collider) ไขความลับ
จักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์” 18
“วัยรุ่น จัย ร้อน” 22

-----------------------------------------------------------------
“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง” An-Nur journal 1
: คอลัมน์ “สุขภาพ”















“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง”
เพื่อนๆรู้ไหมครับว่า “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ “ มองกันในแง่วิชาการจะพบว่า การกินเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ วิทยาศาสตร์มองการกินไปที่เรื่องราวของชีวิตที่ใช้สารอาหารเป็นแหล่งสร้างเนื้อเยื่อของร่างกาย มีทั้งเคมี, ชีวภาพ, กายภาพ, เสรีภาพ, เข้ามาเกี่ยวข้อง ทางศิลปศาสตร์มีจิตวิทยา, ศาสนา, ประวัติศาสตร์, เศรษฐศาสตร์ และ
วัยรุ่น จัย ร้อน An-Nur journal 22

:คอลัมน์ “จากเพื่อน to friend”

วัยรุ่น ร้อน

ใสมัยก่อน สมัยที่กรุงเทพฯ ยังเรียกว่า “พระนคร” สมัยนั้นบ้านเมืองจะไม่ค่อยเจริญเท่าไร คนรวยๆก็ไม่ค่อยมี คนใหญ่คนโตก็มีแต่ “พวกนักเลง” นักเลงสมัยนั้นจะอยู่ตามถิ่นของแต่ละแคว้น แต่ละคนจะมีลูกสมุน (ลูกน้อง) จำนวนมากแล้วแต่ความเป็นใหญ่ของแต่ละคน และสำหรับ”พี่โต”แล้ว เขาถือว่าเป็นนักเลงที่ใหญ่พอสมควร เมื่อไรที่”พี่โต”จะไปไหนมาไหน ก็มีแต่คนก้มหัวทำความเคารพให้ แล้วไม่ต้องห่วงเลยว่าในถนนที่พี่โตเดินผ่านนั้นจะเหลือที่ให้คนเดิน สวนทางทุกคนต้องหยุด และหลบเข้าไปตามซอกซอย เพราะในถนนที่พี่โตเดินนั้น จะเต็มไปด้วยลูกสมุนเป็นร้อยๆคอยประกบ ส่วนพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ข้างถนน พวกเขาจะคอยส่งสินค้าแต่ละอย่างที่ตังเองขายได้ให้ เพื่อเป็นการเอาใจ
นักเลงแต่ละคน สูบยาสูบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ยาสูบสมัยนั้นยังไม่มีก้นกรอง บางครั้งจึงมียาเส้น(บากา)หลุดเข้าปากไปบ้างเล็กน้อย จึงเป็นปกติที่จะต้องถุยน้ำลายออกมาบ่อยๆ และไม่ต้อง(ตาญอ)ก็ได้ครับว่า แต่ละคนพอถุยน้ำลายออกมาแล้ว มันทุเรศ...ขนาดไหน บางครั้งมีสะหรีดเหลืองๆเมือกๆหลุดออกมา จนเมื่อไหร่ที่ลูกสมุนเห็นลูกพี่ถุยน้ำลาย ก็ต้องรีบไปเหยียบทันที เพื่อที่จะให้มันแห้งเร็วที่สุด แต่ถ้าลูกสมุนคนไหนได้เหยียบน้ำลายของพี่โตแล้ว ก็จะเอามากุยอวนกันวันหลัง

“LHC (Large Hadron Collider) ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ “An-Nur journal 21

มีความกลัวไปต่างๆนานา ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ที่น่ากลัวคือมันจะสร้าง black hole ขึ้นบนโลก.... ดูดจ๊วบ...
ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเจออะไร หรือไม่เจออะไรเลย
เราอาจจะตายกันหมด หรือตายกันซักค่อนโลก
ยุโรปอาจจะหายไปจากแผนที่โลกเลยก็ได้
อยากทำอะไรก็ทำซะ จะบอกรักใครก็บอกซะ โชคดีคับ











โดย: ZeeOut









“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง” An-Nur journal 2
อีกหลายศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วม การก่อกำเนิดพฤติกรรมการกินของมนุษย์ จึงสลับซับซ้อน
คนไทยกล่าวว่าเรื่องกินเรื่องใหญ่ ในขณะที่ฝรั่งเขาว่า เราเป็นอย่างที่เรากิน หรือ We are what we eat กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น หากพิจารณาเฉพาะสองภาษิต
นี้จะพบว่ามิติทางความคิดของฝรั่งต่างจากไทย เพราะในขณะที่ไทยมองเรื่องการกินไปที่เหตุคือการกินเป็นหลัก ฝรั่งกลับมองไปที่ผลหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกิน
“อิสลาม”กล่าวถึงเรื่องการกินไว้มากมายหลายโอกาส การกินในอิสลามมีหลากหลายมิติโดยอิสลามมองการกินอย่างรอบด้านมากกว่า อิสลามมิได้สอนให้ตีกรอบการกินไปที่เหตุหรือผลแต่ให้ตีครอบคลุมไปในทุกกิจการ กินอย่างอิสลามมิใช่เพียงสร้างเนื้อหนังมังสาให้แต่เพียงผู้กินแต่ยังช่วยสรรค์สร้างสังคมได้ด้วย
ผมเรียนเรื่องการกินตามแนวทางของฝรั่งมาเนิ่นนานหลายปี ได้ปรึกษาทั้งศาสตร์และศิลป์เห็นว่าฝรั่งพัฒนาสังคมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าไทย ทำให้มีมิติแนวคิดในเรื่องการกินที่ซับซ้อนกว่า แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าฝรั่งคิดได้ลึกซึ้งกว่า มาถึงวันนี้ผมใช้เวลาบางส่วนเข้ามาจับเรื่องการกินในมิติของอิสลาม ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งรับรู้จึงกล้าที่จะกล่าวว่า อิสลามมองเรื่องการกินด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าฝรั่ง ที่สำคัญคือมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนและลึกซึ้งกว่า
ผมเรียนโภชนาการของฝรั่งที่สอนเรื่องการกินให้ผู้เรียนรู้ว่ากินอย่างไรให้ผู้กินมีสุขภาพที่ดีรวมถึงมีโภชนาการดี ฝรั่งจึงเน้นนักเน้นหนาในเรื่องการกินอย่างถูกต้อง กินให้อายุยืนให้ปลอดทุกข์โรคภัย ฝรั่งเน้นวิชาการทางโภชนาการไว้แคบ ๆ ตรงจุดนั้น
แต่”อิสลาม”มิได้สอนให้ผู้กินมองไปที่ตนเองแต่กลับให้มองกว้างถึงสังคมและคนรอบข้าง โดยสอนให้มุสลิมรู้จักเลือกกินให้รู้ว่ากินอย่างไรจึงจะได้รับความ

“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง” An-Nur journal 3
โปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้า กินอย่างไรสังคมจึงจะเป็นสุขให้เพื่อนบ้านได้อิ่มและในขณะเดียวกันให้ตนเองมีสุขภาพที่ดี
เพียงเรื่องกินอย่างไม่ฟุ่มเฟือยในหลักการของอิสลามก็สอนให้มุสลิมได้ลึกซึ้งกับเศรษฐศาสตร์ควบคู่ไปกับศาสตร์ทางโภชนาการแล้ว ปัจจุบันโลกยุคเทคโนโลยียอมรับแล้วว่าการกินน้อยให้เหลือเพียงปริมาณหนึ่งในสามตามที่อิสลามสอนจะแก้ปัญหาสุขภาพ แถมด้วยเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งสอนให้คนเราไม่ยึดมั่นกับการกินแต่ให้จุนเจือต่อผู้อื่น คำว่าอาหารหนึ่งคนเพียงพอสำหรับสองคนนั้นสอนให้มุสลิมมองไปที่คนข้างตัว ซึ่งผมเรียนวิชาโภชนาการของฝรั่งมาหลายสิบปีไม่เคยได้รับรู้เรื่องดี ๆ เช่นนี้เลย
“อิสลาม”มิได้สอนให้มองการกินเพียงแค่การกิน มิได้เสนอให้มุสลิมเลือกเฉพาะอาหารที่”หะล้าล” แต่สอนให้พิจารณาอาหารที่”ตอยยิบัน”หรือสร้างประโยชน์ให้กับตนเองและสังคม ด้วยคำว่า”ตอยยิบัน”เป็นทั้งมิติทางโภชนาการ หมายถึงประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นทั้งมิติทางเศรษฐศาสตร์ และศีลธรรมนั่นคือเป็นประโยชน์ต่อสังคมรวมถึงไม่เบียดเบียนคนอื่น และในอีกหลายมิติ หลักการของอิสลามทางด้านโภชนาจึงมิได้จำกัดเฉพาะเรื่องของหะล้าลหะรอม แต่ครอบคลุมมิติที่กว้างและลึกซึ้งกว่านั้นมากมายขอให้เสาะหาให้พบเท่านั้น
ในเนื้อที่สั้น ๆ ของบทความนี้ ผมขออนุญาตสรุปหลักการบริโภคแบบอิสลามด้วยคำไทย 7 ตัวอักษร คือ พ-อ-ส-ม-ค-ว-ร อ่านว่า “พอสมควร” มีความหมายดังต่อไปนี้
พ - คือ “พร” อิสลามสอนให้มุสลิม เริ่มทุกกิจกรรมรวมถึงการกินด้วยการขอพรหรือดุอา มีความหมายถึงการเตาะบะห์ต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในทุกลมหายใจ การกินจึงมิใช่เป็นเรื่องกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงสายใยที่ล่วงเข้าไปถึงจิตด้วย
อ – คือ “อนามัย” ทั้งเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย การกินแบบอิสลามต้องพร้อมด้วยอนามัยแบบอิสลาม ซึ่งใช้คำว่า "ตอฮาเราะห์" ที่มีความหมายกว้างขวางกว่าคำว่าอนามัย หรือ Healthy ในภาษาอังกฤษมากนัก
gjhjhkjk
“LHC (Large Hadron Collider) ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ “An-Nur journal 20

ขนาดเล็กที่อาจ 'กินโลก' หรือทำให้เกิดอนุภาคแปลกๆ ที่เปลี่ยนโลกให้หดกลายเป็นก้อนที่มีความหนาแน่นสูง
ทั้งนี้แม้จะฟังดูประหลาด แต่กรณีนี้ก็เป็นประเด็นเคร่งเครียดที่สร้างความวิตกให้กับนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ กล่าวคือพวกเขาจะประมาณความเสี่ยงจากการทดลองใต้ดินที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนี้ได้อย่างไร และใครที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะหยุดหรือเดินหน้าการทดลอง
สรุปคือเครื่องเร่งอนุภาค เพื่อจะทำให้ตัว LHC ทำความเร็วไปแตะระดับความเร็วแสง เพื่อทำให้เกิดปรากฎการใหม่ที่มนุษยชาติไม่เคยมีไครทำและทำได้ ถ้าทำได้สำเร็จจริงจะเป็นผลแห่งความรู้ใหม่อันมหาศาลทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลก เอาแบบง่ายๆ ถ้าทำสำเร็จจะเป็นพื้นฐานของการทำเครื่อง Time Machine แต่ถ้าสำเร็จจริงผลเสียที่ตามมา ที่มีกลุ่มคนต่อต้านกันอยู่คือ มันเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก การประเมินผลเสียที่เกิดขึ้นเป็นแค่การสมมุติฐานและคำนวนตามทฤษฎีเท่านั้น จึงเป็นไปได้ทั้งสองทางคือ อาจจะเป็นผลที่ดีมาก หรือผลเสียมากต่อมนุษยชาติก็ได้ ดีก็ดีไปแต่ข้อเสียก็คือ การทำให้อะไรสักอย่างบนโลกใบนี้เร็วในระดับไปแตะก้นความเร็วแสงได้จริงมันอาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดหนึ่งขึ้นมาได้ และอาจจะดูดกลืนทุกสิ่งบนโลกใบนี้ให้หายไปเลยก็ได้ครับ ทั้งผลร้ายและผลดีนั้น คำนวนตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ทั้งนั้นครับ ซึ่งไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ในการทดลองจริงได้สำเร็จ
ไม่ควรมองเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ เพราะเรื่องนี้บอกว่าเรามาจากที่ไหนแล้วจะสิ้นสุดตรงไหนอีกอย่างการทดลองจะมีขึ้นเร็วๆนี้
ไม่แน่นะครับถ้าเกิดความผิดพลาดในการทดลองขึ้นจริงๆ เช่นทำให้แม่เหล็กของโลกเหลือขั้วเดียว รึอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่นอกเหนือการคำนวณ เราคงได้สนุกกันแน่ ตอนนี้ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย เดือนกันยาก็ได้มีลุ้นครับ

klkl
Kl;
“LHC (Large Hadron Collider) ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ “An-Nur journal 19
แล้วเอามาวิ่งชนกัน เพื่อตรวจสอบทฤษฎีทางฟิสิกส์อนุภาคว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าสร้างขึ้นมาได้จริงตามทฤษฎี วงการฟิสิกส์จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก LHC ตอนนี้กำลังสร้างอยู่และมีกำหนดเปิดใช้งานเดือนพฤษภาคมนี้(2008)
อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่คาใจเรื่องความปลอดภัยของ LHC ในหลายประเด็น เช่นว่า การใช้งาน LHC อาจก่อให้เกิดแบล็คโฮล (หลุมดำ)ขนาดเล็กขึ้นมาทำลายล้างโลก หรือเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกให้เหลือข้างเดียวได้ ล่าสุดได้มีคนยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐ ให้กระทรวงพลังงานสหรัฐและห้องทดลอง Fermilab ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกของ LHC ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทางฝ่ายสนับสนุน LHC เองก็ออกมาโต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแต่อย่างใด ส่วนศาลจะรับฟ้องหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างกระบวนการด้านเอกสาร '
แม้นักฟิสิกส์ทั่วโลกจะใช้เวลาถึง 14 ปีและลงทุนไปกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่ใหญ่สุดในโลก ภายใต้ความร่วมมือขององค์การศึกษาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป 'เซิร์น' (Cern) เพื่อเร่งให้อนุภาคโปรตอนชนกัน แล้วสร้างพลังงานและเงื่อนไขที่เหมือนกับเสี้ยววินาทีที่ 1 ในล้านล้านล้านหลังเกิดบิกแบง (Big Bang) โดยนักวิทยาศาสตร์จะวิเคราะห์เศษซากที่เกิดขึ้น เพื่อไขปริศนาธรรมชาติของมวลและแรงใหม่ๆ รวมถึงความสมมาตรของธรรมชาติด้วย
หากแต่วอลเตอร์ แอล.วากเนอร์ (Walter L.Wagner) ผู้อาศัยอยู่ในมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา และศึกษาวิจัยฟิสิกส์และรังสีคอสมิกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) ทั้งยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยนอร์เธิร์นแคลิฟอร์เนียในซาคราเมนโต (University of Northern California in Sacramento) และลูอิส ซานโช (Luis Sancho) ซึ่งระบุว่าทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีเวลาและอาศัยอยู่ในสเปน ได้ฟ้องต่อศาลฮาวายเพื่อเรียกร้องสิทธิให้ระงับการทดลองของเซิร์น เนื่องจากอาจทำให้เกิดหลุมดำ
“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง” An-Nur journal 4
ส – คือ “สงเคราะห์” อิสลามสอนให้คิดถึงสังคม คิดถึงคนรอบข้าง มิใช่คิดถึงแต่ตนเอง อิสลามสอนให้รู้จักกินเพื่อให้คนรอบข้างอิ่ม กินเพื่อให้สังคมเข้มแข็ง อิสลามมีกุศโลบายที่จะทำให้เงินทุกสตางค์ที่จับจ่ายไปกับการกินวนเวียนไม่รู้จบอยู่ในสังคมมุสลิม อันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้ง มุสลิมได้กุศลผลบุญรวมถึงเศรษฐกิจที่มั่นคงกับการกินของมุสลิมพร้อมกันไปด้วย จึงเสียดายหากเราไม่เข้าใจ ในภาษาอาหรับใช้คำว่า "อิฆอซะห์" ใครที่เรียนรู้ภาษาอาหรับจะเข้าใจว่า สงเคราะห์ในอิสลามนั้นกินความกว้างขวางกว่าของฝรั่งมากเพียงใด
ม – คือ “มัธยัสถ์” ภาษาอาหรับใช้คำว่า "อิกติซอต" อดออมไม่สุรุ่ยสุร่าย เพราะอิสลามรังเกียจความฟุ่มเฟือย อิสลามคัดคานลัทธิบริโภคนิยมที่สอนให้คนบริโภคตามนโยบายตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าเสรีหรือสิ่งอื่น เรื่องของอิกติซอตนี้กล่าวได้ไม่มีวันจบเช่นกัน
ค – คือ “เคร่งครัด” หรือ "ตะดัยยุน" ในภาษาอาหรับ อิสลามสอนให้มุสลิมยึดมั่นในหลักการของตน ไม่วอกแวกไปกับสิ่งยั่วยวนรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลงใหลไปกับบริโภคนิยม
ว – คือ “วิรัติ” หรือการงดเว้น ในภาษาอาหรับคือ "อิมซ้าก" มีความหมายถึงยกเว้นและยับยั้ง การงดเว้นเรื่องการกินในอิสลามที่สำคัญมีอยู่สองเรื่องได้แก่ งดเว้นการกินการดื่มการเสพเมถุนและอารมณ์ในเดือนรอมฎอน หรือที่เราเรียกว่าซิยัม อีกเรื่องหนึ่งของการยกเว้นคือการงดเว้นสิ่งที่หะรอม เลี่ยงสิ่งที่ซุบฮัตหรือต้องสงสัย
ร – คือ “ร่วมกัน” ในภาษาอาหรับคือ "อิจติมะห์" หรือ "ยะมาอะห์" อิสลามสอนให้ทำทุกกิจกรรมร่วมกันปรึกษาหารือแก้ไขปัญหาร่วมกัน หรือที่เรียกว่า มูเซาวาเราะห์ อิสลามสอนให้รู้ว่าสังคมเข้มแข็งได้ด้วยการทำความดีของคนทุกคนมิใช่เพียงคนเดียว โดยสอนให้ทำความดีต่อสังคมมิใช่ต่อเพียงตนเองและควรทำร่วมกัน



“กินแบบอิสลามกับการสรรค์สร้างสังคมเข้มแข็ง” An-Nur journal 5
สุดท้ายคือคำว่า “พอสมควร” หรือ "เอียะติดาล" นั้นเป็นหลักการสำคัญที่อิสลามสอนให้มุสลิมรู้จักรังสรรค์สังคมให้เข้มแข็งอย่างไม่สุดโต่ง อิสลามจึงมีกุศโลบายมากมายในการสอนวิธีคิด หรือกระบวนทัศน์ให้แก่มุสลิมเพียงเรื่องโภชนาการ และการกินก็เรียนวิธีคิดแบบอิสลามกันได้ไม่รู้จบแล้ว เราจึงต้องคิดทบทวน มองกุศโลบายของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่แฝงอยู่ในคำสอนของอิสลามอย่างทะลุปรุโปร่ง มิใช่เพียงมองผ่าน ตัวอย่างการมองผ่านไปไม่ทะลุประโปร่ง เป็นต้นว่าอิสลามกำหนดหะล้าลให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของมุสลิม สอนให้มุสลิมจับมือกันพิทักษ์สังคมของตนเอง ให้สังคมมุสลิมเป็นมือบนเป็นผู้ให้และเป็นผู้ผลิต แต่ในสังคมทุกวันนี้ทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องหะล้าลกลับถูกแบ่งสรรไปให้ผู้คนนอกสังคมมุสลิมเสียสิ้น มุสลิมที่ควรพึ่งพิงกันเองกลับกลายเป็นมือล่างที่คอยรับจากมือผู้อื่น มองที่เรื่องหะล้าลเรื่องเดียวก็พอจะตระหนักได้แล้วว่าเรายังห่างไกลจากความเข้าใจในกุศโลบายอันชาญฉลาดของอิสลามมากนัก











jkjk
“LHC (Large Hadron Collider) ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ “An-Nur journal 18









“LHC (Large Hadron Collider) ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ “

ไม่รู้จะตรงหมวด อ่ะเปล่า เพราะหาหมวดเฉพาะไม่ได้อ่ะ เป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ครับ
เป็นการทดลองที่จะทำการเดินเครื่องเต็มรูปแบบวันที่ 10 กันยายน นี้ครับ เวลาประมาณ 9 โมงเช้าของประเทศเขานั่นล่ะ
เห็นข่าว 3 มิติ ของช่อง 3 เอามาออก และได้รับข้อมูลมานิดหน่อย เลยเอามาแบ่งปันครับ ถ้ามันเกิดเหตุร้ายขึ้นจริงๆ ก็ขอให้คนไทยรักกันครับ
Large Hadron Collider (LHC) เป็นเครื่องเร่งความเร็วอนุภาค ของศูนย์วิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตร เป้าหมายของ LHC คือใช้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาค
นาซ่า ทำลายสถิติ เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก (เร็วกว่าเสียงเกือบ 10เท่า) An-Nur journal17

เครื่องยนต์ ramjet จะต่างจากเครื่องบินไอพ่นทั่วไป คือแทนที่จะใช้ใบพัด มันกลับใช้ความเร็วของมันเองในการส่งอากาศเข้าไปในเครื่อง ให้ออกซีเจนได้ทำปฏิกิริยากับเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และในเครื่อง scramjet หรือในกรณีของ X-43A การเผาไหม้เชื้อเพลิงจะเกิดขึ้นเมื่ออากาศถูกดูดเข้าไปด้วยความเร็วกว่าเสียงเท่านั้น หมายความว่า เครื่องจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว Mach4 ซึ่งทำให้การทดลองบินจากพื้นแบบปกติเป็นไปไม่ได้
จริงอยู่ว่า จรวดบินได้เร็วกว่า X-43A แน่ แต่มันต้องแบกทั้งไฮโดรเจนและออกซีเจนในเครื่องเอง ซึ่งมีราคาแพงและอาจเป็นอันตรายเกินไปสำหรับเครื่องบินเพื่อการพาณิชย์ทั้งหลาย และมันก็ทำให้บรรทุกสัมภาระได้น้อยลงด้วย นอกจากนี้เมื่อการเผาไหม้เชื้อเพลิงเริ่มขึ้นแล้ว มันก็จะเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างเต็มกำลัง แต่เครื่องของ X-43A สามารถปรับพลังงานได้ ทำให้มันทำงานใกล้เคียงเครื่องบินทั่วไปมากกว่า และมันก็มีขนาดเบาด้วย เพราะไม่ต้องแบกถังออกซีเจนเอง แต่ใช้ออกซีเจนจากอากาศภายนอก
นักวิศวกรเชื่อว่าในอนาคต scramjet จะสามารถใช้เป็นเครื่องบินเพื่อการค้าที่พาผู้โดยสารเดินทางรอบโลกภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงได้ แต่นั่นคงอาจกินเวลาอีกหลายสิบปี อย่างไรก็ดีในอนาคตอันใกล้นี้ scramjet อาจนำมาปรับใช้ในการขนส่งที่วงโคจรโลกในระดับที่ไม่สูงนักได้ หรือทำเป็นขีปนาวุธ หรือปรับเป็นตัวส่งจรวดไปสู่วงโคจรก็ได้








“กินถั่วเป็นประจำช่วยให้สุขภาพดี” An-Nur journal 6










2“กินถั่วเป็นประจำช่วยให้สุขภาพดี”
เพื่อนๆทราบไหมว่า การเติมถั่วลงไปในอาหาร อาจช่วยให้ผู้บริโภคห่างไกลจากโรคอ้วนลงพุงได้ โดยเฉพาะอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ที่เน้นหนักไปทางผัก ผลไม้ และเนื้อปลา ซึ่งถ้ามีการเติมถั่วลงไปด้วย ก็จะทำให้อาหารที่มีคุณค่าอยู่แล้ว มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น
มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย โรวิรา ไอ เวอร์จิลี ในสเปน ได้ทดสอบเรื่องนี้กับอาสาสมัครกว่า 1,200 คน ซึ่งมีปัญหาเป็นโรคอ้วนลงพุง และมีปัญหาความดันเลือดสูง ระดับคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดสูงด้วยเช่นกัน
พวกเขาแบ่ง อาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะให้รับประทานอาหารไขมันต่ำ กลุ่มที่สองให้รับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจะเต็มไปด้วยผัก ธัญพืช และผลไม้ ทั้งยังจำกัดการรับประทานผลิตภัณฑ์นมและเนื้อแดง แต่จะให้คนกลุ่มนี้ได้รับน้ำมันมะกอก 1 ลิตรต่อสัปดาห์ เพิ่มเข้าไปด้วย
“กินถั่วเป็นประจำช่วยให้สุขภาพดี” An-Nur journal 7

ส่วน กลุ่มที่สามจะให้รับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียนเช่นกัน แต่จะให้พวกเขาได้กินถั่วหลายชนิดคลุกเคล้ากัน วันละ 300 กรัม ควบคู่ไปด้วย หลังจากนั้น 1 ปี ทางนักวิจัยได้มาประเมินสุขภาพของอาสาสมัครทั้งหมดว่า มีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ผลปรากฏว่า กลุ่มแรกที่กินเฉพาะอาหารไขมันต่ำ มีอยู่แค่ร้อยละ 2 ที่หายจากการเป็นโรคอ้วนลงพุง ส่วนกลุ่มที่สองที่กินอาหารเมดิเตอร์เรเนียนผสมกับน้ำมันมะกอก มีอยู่ร้อยละ 6.7 ที่ไม่ได้เป็นโรคอ้วนลงพุงอีกต่อไป แต่กลุ่มที่สามที่กินถั่วเป็นประจำผสมอยู่ในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน มีอยู่ถึงร้อยละ 13.7 ที่หายจากโรคดังกล่าว รอบเอวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ระดับความดันเลือดและคอเลสเตอรอลลดลงด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงสรุปว่า การกินถั่วเป็นประจำ ผสมกับการรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยผักผลไม้ จะช่วยบรรเทาโรคอ้วนลงพุงได้เป็นอย่างดี และถ้าเป็นถั่วประเภทฮาเซลนัท และอัลมอนด์ ก็จะเห็นผลได้อย่างชัดเจนกว่าถั่วลิสง แต่ต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าเป็นถั่วทอดคลุกเกลือ ก็จะไม่ช่วยให้หายจากโรคอ้วนลงพุง แต่จะยิ่งเพิ่มระดับความดันเลือดด้วยซ้ำ.







นาซ่า ทำลายสถิติ เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก (เร็วกว่าเสียงเกือบ 10เท่า) An-Nur journal 16

เครื่องบิน X-43A ซึ่งเป็น supersonic combustion ramjet (scramjet) ที่ไม่มีนักบินบังคับนี้ มีขนาด 3.7เมตร และเคยทำสถิติการบินไว้ ที่ mach 6.83 หรือเร็วกว่าเสียงเกือบเจ็ดเท่า ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมันสามารถบินโดยใช้เชื้อเพลิงของตัวเองประมาณ 20วินาที
การบินครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การบินเลยทีเดียว และยังเป็นก้าวสำคัญสู่ความเป็นไปได้ในอนาคต สำหรับการขนส่งของที่ใหญ่และหนักไปในอวกาศ อย่างปลอดภัย เชื่อถือได้ และไม่แพง
การบินเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมานี้ ถือเป็นการทดลองบินครั้งที่สาม และครั้งสุดท้ายของโปรแกรม Hyper X ที่มีมูลค่า 230 ล้านเหรียญ ในการทดลองเครื่อง scramjet การทดลองบินครั้งแรกในปี 2001 ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อวิศวกรการบินเสียการควบคุมเครื่อง และทำให้ X-43A ระเบิด แต่การทดลองบินในครั้งที่สอง เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ X-43A สามารถบินได้ที่ Mach 7 ซึ่งแค่นี้ก็เป็นการทำลายสถิติของ SR-71 Blackbird เครื่องบินไอพ่นของกองทัพสหรัฐ ที่บินได้ที่ Mach 3.2
เครื่องบิน B-52B ทำหน้าที่แบก X-43A ซึ่งติดอยู่กับจรวดที่ทำหน้าที่ส่งแรงผลัก (booster rocket) Pegasus ไปจนถึงความสูงที่ 12 km (40,000ft) แล้วหลังจากนั้น pegasus ก็ทำหน้าที่ส่ง X-43A ไปสูง 33.5 km (111,000ft) ที่จุดนี้ มันก็บินด้วยความเร็วประมาณ Mach 9 แล้ว เมื่อbooster rocket หลุดออกไป เครื่องก็เร่งความเร็วโดยใช้เชื้อเพลิงของตัวเองไปที่ Mach 10 และบินไปได้มากกว่า 1,000 km ก่อนที่จะตกลงไปในมหาสมุทร




นาซ่า ทำลายสถิติ เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก (เร็วกว่าเสียงเกือบ 10เท่า) An-Nur journal 15

: คอลัมน์ “ความรู้ทั่วปัย”













นาซ่า ทำลายสถิติ เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก
(เร็วกว่าเสียงเกือบ 10เท่า)

นาซ่าได้ทำการทดลองบินเครื่องบินไอพ่น X-43A ซึ่งเป็น supersonic combustion ramjet (scramjet) ด้วยความเร็วมากกว่าเสียงถึงเกือบสิบเท่า หรือประมาณ 11,000 km/h ถือเป็นการทำลายสถิติที่เคยสร้างไว้ ที่ mach 6.83 หรือเร็วกว่าเสียงเกือบเจ็ดเท่า ต้นปีที่ผ่านมา

“ (อย.)เตือนน้ำมันทอดซ้ำ อันตรายถึงขั้นมะเร็ง” An-Nur journal 8













“(อย.)เตือนน้ำมันทอดซ้ำ อันตรายถึงขั้นมะเร็ง”

อย.ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์วิจัยวิทยาลิพิดและไขมัน คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวถึงกรณีการใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำ ๆ หลายครั้ง เช่น กล้วยทอด มันทอด ทอดมัน ปาท่องโก๋ จนถึงอาหารฟาสต์ฟูดประเภทไก่ทอด เฟรนซ์ฟราย แม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมกรอบขบเคี้ยวต่าง ๆ ที่ผลิตในโรงงานอุสาหกรรม ซึ่งอาหารเหล่านี้มักใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง โดยเติมน้ำมันเก่าที่ผ่านการทอดมาแล้ว จนน้ำมันเปลี่ยนสีจากเหลืองใสเป็นสีดำเนื้อค่อนข้างเหนียวข้น และยังนำน้ำมันที่ทอดซ้ำนี้ไปจำหน่ายต่อให้ผู้ค้ารายย่อยอื่น ๆ อีก จากการวิจัย พบว่า น้ำมันเหล่านี้จะมีคุณภาพที่เสื่อมลงทั้งสี กลิ่น รสชาติเปลี่ยนไป จุดเกิดควันลดลง มีความหนืดมากขึ้น ที่สำคัญ จะเกิดสารประกอบที่สามารถสะสมในร่างกาย ซึ่งได้
“ (อย.)เตือนน้ำมันทอดซ้ำ อันตรายถึงขั้นมะเร็ง” An-Nur journal 9

ทดลองในสัตว์แล้ว พบว่า สารบางชนิดในน้ำมันที่เสื่อมคุณภาพจากการทอด เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น มะเร็งผิวหนัง ตับ ปอด และมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูทดลอง และจากการสำรวจโดยเก็บตัวอย่างน้ำมันทอดอาหารจากร้านแผงลอยและรถเข็น ได้แก่ น้ำมันทอดปาท่องโก๋ ทอดเต้าหู้ ทอดไก่ ทอดลูกชิ้น ทอดมัน กล้วยทอดเผือกมันทอด จำนวน 187 ตัวอย่าง และน้ำมันทอดอาหารจากร้านอาหารจานด่วน 64 ตัวอย่าง น้ำมันทอดบะหมี่จากโรงงานอุตสาหกรรมบะหมี่สำเร็จรูป 3 ตัวอย่าง พบน้ำมันที่ทอดซ้ำ เสื่อมคุณภาพ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะฉะนั้น อย. จึงออกกฎหมายห้ามจำหน่ายน้ำมันทอดซ้ำแก่ร้านอาหารหรือผู้ปรุงอาหารอื่น ๆ เพื่อนำไปใช้ต่อเด็ดขาด หากกระทำการฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดฐานจำหน่ายอาหารผิดมาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท และผู้ขายอาหารทอดต่าง ๆ ไม่ควรใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพราะนอกจากไอควันจากน้ำมันทอดซึ่งเป็นอันตรายต่อตนเองแล้วยังเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย สำหรับผู้บริโภคควรเลือกซื้ออาหารทอดจากแม่ค้าพ่อค้าที่ทอดด้วยน้ำมันใหม่สีเหลืองใส หากสีดำไม่ควรซื้อมารับประทานเด็ดขาด








“มั่ยอยากจะเชื่อเลย” An-Nur journal 14

ช่วยให้นักเรียนตระหนักถึงผลการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีต่อ อากาศในบริเวณนั้นและต่อโลก ตลอดจนตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
ในการทดลองนี้นักเรียนจะพบว่า ผ้าสีขาวจะมีเขม่าดำเกาะอยู่ เมื่อผ่านไปในที่มีการจราจรหนาแน่นจะพบว่า ผ้าเช็ดหน้าที่เราเช็ดรูจมูกมีสีดำ และถ้าสูดอากาศบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นเข้าไปแล้ว สารที่มีในอากาศ จะเข้าไปในร่างกายและนานๆเข้าจะมีผลต่อทางเดินลมหายใจ
ไอเสียจากรถยนต์เป็นแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่งที่ทำให้อากาศสกปรก พลังงานที่รถใช้ได้จากเชื้อเพลิงในรูปของน้ำมัน ไอเสียที่ออกจากท่อไอเสีย ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน ไนโตรเจน แก๊สเหล่านี้เป็นแก๊สที่มองไม่เห็น รวมทั้งอนุภาคอื่นๆ ทำให้อากาศสกปรก
ในการลดปริมาณสารจากรถที่จะทำให้อากาศสกปรกนั้นวิธีหนึ่งคือ ลดปริมาณการใช้รถลงโดย
1.ใช้วิธีเดินหรือขี่จักรยานแทนการใช้รถ เมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่ไกลมาก
2.ตรวจเช็คสภาพรถเสมอ
3.ใช้รถประจำทางแทนรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์
เป็นต้น








“เรือนกระจก” & “มั่ยอยากจะเชื่อเลย” An-Nur journal 13

จากผลการทดลอง อากาศภายในกล่องที่มีพลาสติกใสปิดไว้มีอุณหภูมิ ิสูงกว่าอากาศภายในกล่องใบที่ 2 ซึ่งไม่มีพลาสติกปิดไว้ แสงอาทิตย์จะทะลุ ุผ่านพลาสติกใสได้ ดินในที่อยู่กล่องและกระดาษข้างกล่องจะดูดกลืนแล้วคาย รังสีอินฟราเรดซึ่งเป็นพลังงานความร้อน โดยไม่ยอมให้ความร้อนออกไปจากกล่อง เพราะมีพลาสติกใสปิดไว้ จึงทำให้อากาศภายในกล่องร้อนขึ้นกว่าอีกกล่องหนึ่ง ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก ในบรรยากาศของโลก ก็เช่นเดียวกัน มีอากาศซึ่งประกอบด้วยแก๊สต่างๆ ห่อหุ้มโลกยอมให้แสงผ่านมา
ยังผิวโลกได้ พื้นผิวโลกดูดกลืนแสงไว้แล้วคายรังสีอินฟราเรดซึ่งเป็นความร้อน ออกมา ไอน้ำ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และแก๊สอื่นอีกบางชนิดดูดกลืนแสงแล้ว คายความร้อนออกมาใกล้ผิวโลก









“มั่ยอยากจะเชื่อเลย”
เพื่อนๆมักได้ข่าวคราวถึงสิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษอยู่เป็นประจำ กิจกรรมต่อไปนี้เป็นกิจกรรมง่ายๆ เกี่ยวกับไอเสียจากท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ซึ่งจะ

“มดตัวน้อย ตัวนิด” An-Nur journal 10

: คอลัมน์ “วิทยาศาสตร์การทดลอง”



“มดตัวน้อย ตัวนิด”
เพื่อนๆรู้ไหมว่ามดเป็นสัตว์ที่เด็ก ๆ มักพบเห็นอยู่ทั่วไป การจัดกิจกรรมประกอบ การเรียนการสอนเรื่องสัตว์ โดยใช้มด จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และยังเป็น การฝึกให้นักเรียนสนใจ และสังเกตสิ่งรอบ ๆ ตัวได้ทางหนึ่ง ตลอดจน ฝึกความอดทนในการเฝ้าสังเกตอีกด้วย
เรามักพบมดอยู่ตามที่ต่าง ๆ เสมอ เนื่องจากมดเหล่านี้จะออกหาอาหาร เมื่อพบอาหารก็จะกลับไปบอกเพื่อน ๆ และพากันมาขนอาหาร มดเป็นสัตว์ที่ แข็งแรงมาก สามารถขนอาหารที่หนักกว่าน้ำหนักตัว 50 เท่าได้
มดสามารถสร้างฟีโรโมนซึ่งเป็นสารเคมีจากต่อมที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อมดต้องการบอกเส้นทางหรือส่งสัญญาณให้เพื่อน ๆ มดรู้ถึง แหล่งอาหารที่พบ มดจะยื่นส่วนที่สร้างฟีโรโมนออกมาเป็นเงี่ยง แล้วครูดไป ตามพื้นเป็นแนวตามทางที่เดิน พร้อมทั้งปล่อยฟีโรโมนออกมา มดตัวอื่นๆ จะ ดมกลิ่นของฟีโรโมนไปตามทางจนถึงแหล่งอาหาร กลิ่นของฟีโรโมนจะค่อย ๆ จางหายไปในเวลาไม่นาน ทั้งนี้เพื่อมิให้มดสับสนกลิ่นเดิมที่อาจตกค้างอยู่ ทำให้สามารถติดตามกลิ่น


“อุณหภูมิ” An-Nur journal 11






“อุณหภูมิ”
เพื่อนๆคุ้นเคยกับเมล็ดถั่วเขียว บางครั้งและในที่หลายๆแห่งที่เด็กเห็น เมล็ดงอก เด็กบางคนสงสัยว่าเมล็ดงอกได้ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะหนาว จะร้อน จริงหรือไม่ กิจกรรมต่อไปนี้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องดังกล่าวได้
จากการทดลองจะเห็นว่าเมล็ดถั่วเขียวจะงอกได้ดีในถ้วยที่วางไว้ในห้อง ส่วนในตู้เย็นไม่งอก สำหรับเมล็ดพืชชนิดอื่นๆแล้วแต่ว่าใช้ชนิดใด ส่วนใหญ่ จะงอกได้ดีในอากาศที่มีอุณหภูมิปกติไม่ต่ำหรือสูงเกินไป เช่น ข้าวโพดจะงอก ได้ระหว่างอุณหภูมิประมาณ 10oC - 40.5oC แต่จะงอกได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิ ประมาณ 34oC มะเขือเทศงอกได้ระหว่างอุณหภูมิ 10oC - 34oC และจะงอกได้ดี ที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 21oC ดังนั้นอุณหภูมิจึงมีผลต่อการงอกของเมล็ด








``Moss(มอส)” & “เรือนกระจก” An-Nur journal 12







``Moss(มอส)”
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเกี่ยวกับพืชไร้ดอก ครูอาจใช้ กิจกรรมต่อไปนี้ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับมอส ให้นักเรียนได้สังเกตสิ่งรอบตัว และเกิดความชื่นชมในความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มา
มอสเป็นพืชขนาดเล็กมาก เจริญเติบโตในที่ชุ่มชื้น เราอาจมอสขึ้นบน ก้อนหินได้ ถ้าขึ้นบนก้อนหินจะทำให้ก้อนหินแตกร้าว เมื่อมอสเจริญเติบโต เต็มที่จะมีก้านชูอับสปอร์ ตรงปลายเป็นอับสปอร์ซึ่งจะมีสปอร์อยู่ภายใน เมื่ออับสปอร์แตก สปอร์ภายในจะตกลงบนที่ชื้นและเจริญเติบโตต่อไป



“เรือนกระจก”
ทุกคนคงคุ้นเคยกับคำว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก แต่อาจจะ นึกภาพไม่ออกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร กิจกรรมต่อไปนี้จะช่วยให้นักเรียนมองเห็น ภาพการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

Infinitive-Gerund-Parteiple

Infinitive - Gerund - Participle
1. ใช้ infinitive without to ตามหลังกริยาช่วยต่อไปนี้ คือ will, would, shall, should, can, could, may, might, need, would rather, had better
- She will go to Singapore next week.
# ยกเว้น
a) need และ dear ถ้าใช้เป็นกริยาหลัก ต้องมี to
b) ought และ used ต้องใช้ infinitive มี to คือ ought to, used to
c) Verb to be และ Verb to have ใช้ infinitive มี to คือ is, am are, was, were, has, have, had
- She needed to see her sister.
- She is to meet her sister at school today.
- She ought to study English.
2. หลังกริยาต่อไปนี้ + กรรม + infinitive ไม่มี to ก็ได้ gerund ก็ได้ คือ feel, hear, see, observe, notice, smell, watch
- We saw them come across the road.
- We saw them coming across the road.
3. ใช้ gerund ตามหลัง กริยาต่อไปนี้
admit = ยอมรับ deny = ปฏิเสธ favor = สนับสนุน practise = ฝึกฝน
appreciate = รู้คุณค่า dislike = ไม่ชอบ imagine = นึกคิด quit = เลิก
avoid = หลีกเลี่ยง enjoy = ชอบ mind = รังเกียจ recall = จำได้
consider = พิจารณา escape = หลีกเลี่ยง miss = พลาด risk = เสี่ยง
delay = ถ่วงเวลา finish = จบ, สำเร็จ postpone = เลื่อน suggest = เสนอแนะ
- Do you enjoy working here?
- I will quit smoking.
4. กริยาที่ตามหลัง preposition ทุกตัว ต้องใช้ gerund
- I succeeded in finding my job.
5. ใช้ gerund ตามหลังสำนวนต่อไปนี้
approve of = เห็นด้วย have a bad time = ประสบความลำบาก
be accustomed to = คุ้นเคยกับ, เคยชินกับ have a difficult time = ประสบความลำบาก
be busy = ยุ่งอยู่กับ have a good time = สนุก
be no good = ไม่มีประโยชน์, เป็นการไร้ประโยชน์ have a hard time = ไม่สนุก
ิbe no use = ไม่มีประโยชน์, เป็นการไร้ประโยชน์ have difficulty = มีความยุ่งยากลำบาก
be opposed to = คัดค้านที่จะ, ไม่เห็นด้วย have much difficulty = มีความยุ่งยากลำบากมาก
be tired of = เบื่อ have trouble = มีความยุ่งยากลำบาก
be used to = เคยชินกับ have much trouble = มีความยุ่งยากลำบากมาก
be worth = มีค่าควรแก่ insist on = ยืนกราน
can't bear = ทนไม่ได้ it's no use = เป็นการไร้ประโยชน์
can't help = อดไม่ได้ it's worth = มีคุณค่าสำหรับ
can't resist = อดไม่ได้ keep on = ทำต่อไป
can't stand = ทนไม่ได้ look forward to = ตั้งหน้าตั้งตาคอย
carry on = ทำต่อไป object to = คัดค้านต่อ
confess to = สารภาพ put off = เลื่อน
don't mind = ไม่รังเกียจที่จะ take to = ติดเหล้า, อุทิศตัว, หันไปทาง
forget about = ลืมเกี่ยวกับ Would you mind ... = คุณรังเกียจไหมที่จะ...
give up = เลิก, หยุด Do you mind ... = คุณรังเกียจไหมที่จะ
go on = ทำต่อไป * be = is, am, are, was, were, be, been
- We are looking forward to seeing you.
6. ปกติแล้ว infinitive และ gerund ใช้แทนกันได้ เช่น continue to write = continue writing
ยกเว้นกริยาต่อไปนี้ที่ทำให้ infinitive และ gerund มีความหมายต่างกัน
# verb + infinitive = มีความหมายเป็นอนาคต คือจะทำในอนาคต
# verb + gerund = มีความหมายเป็นอดีต คือได้ทำไปแล้ว
- stop + infinitive = หยุดเพื่อจะทำอย่างอื่น
- stop + gerund = หยุดหรือเลิกทำในสิ่งที่เคยทำมา
- forget + infinitive = ลืมที่จะทำ
- forget + gerund = ลืมว่าได้ทำไปแล้ว
- remember + infinitive = จำได้ว่าจะ...
- remember + gerund = จำได้ถึงสิ่งที่ผ่านมา
- regret + infinitive = เสียใจในสิ่งที่จะทำ
- regret + gerund = เสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
- try + infonitive = พยายามที่จะทำสิ่งนั้น
- try + gerund = พยายามกับสิ่งนั้นมาแล้ว
- Don't foget to send me your email address. [ลืมที่จะทำ]
- She fogot turning off the light. [ลืมว่าได้ปิดไฟแล้ว]
7. กริยาต่อไปนี้ สามารถตามด้วยกรรมได้เลย ไม่ต้องมี preposition มาคั่นอีก ได้แก่ discuss, enter, join, lack, marry, resemble, solve
- Students try to enter universities.
8. การใช้ participle phrase นำหน้า เพื่อขยายประโยคทั้งประโยค เป็นการรวม 2 ประโยคเข้าด้วยกันโดยใช้ participle phrase มีหลักการดังนี้
8.1 กรณีประธานเป็นผู้กระทำ (active) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดใกล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกัน ให้ใช้ present participle (Verb- ing)
- I walked in the dark. I stepped on something soft.
= Walking in the dark, I stepped on something soft.
* ประธานของประโยคต้องเป็นคนเดียวหรือสิ่งเดียวกับประโยคหลัง
8.2 กรณีประธานเป็นผู้กระทำ (active) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดก่อนและหลังห่างกันนานหรือต่างกรรมต่างวาระ ให้ใช้ perfect participle (Having +V.3)
- She completed her work. She went to the cenema.
= Having completed her work, she went to the cenema.
8.3 กรณีประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (passive) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดใกล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกัน ให้ใช้ past participle (V.3)
- Trapped in a high branch of the tree, the cat could be reached by a man using a long ladder.
8.4 กรณีประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (passive) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดก่อนและหลังห่างกันนาน ให้ใช้ perfect participle (Having been + V.3)
- Having been scolded, he left home.
8.5 ถ้าประธานของทั้ง 2 ประโยคไม่ใช่คนเดียวกันหรือสิ่งเดียวกัน จะตัดประธานตัวใดตัวหนึ่งออกไม่ได้ แต่ให้เปลี่ยนกริยาในประโยคหน้าเป็น Verb-ing หรือ V.3 และเรียกโครงสร้างประโยคนี้ว่า absolute phrase
- The sun having set, they went home.
- All things taken into consideration, you have done it right.
9. หลักการใช้ present participle ทำหน้าที่เป็นเหมือนคุณศัพท์ขยาย noun
9.1 ถ้าใช้ขยายหน้านาม มีความหมายเป็น active คือนามที่ถูกขยายเป็นผู้กระทำ
- The boy is afraid of the barking dog.
9.2 ถ้าใช้ขยายข้างหลังนามประธาน จะทำหน้าที่คล้ายกับ adjective clause
- The man who was driving the car turned left.
= The man driving the car turned left.
10. หลักการใช้ past participle ทำหน้าที่เหมือนคุณศัพท์ขยาย noun
10.1 ถ้าใช้ขยายหน้านาม มีความหมายเป็น passive คือนามที่ถูกขยายเป็นผู้ถูกกระทำ
- The tired man sat down to rest.
10.2 ถ้าใช้ขยายข้างหลังนาม แต่ต้องมีบุพบทวลีมาขยายร่วมด้วย
- The book bought from the bookstore is about Thai history.
11. Verb ต่อไปนี้
alarm = ทำให้ตกใจ frighten = ทำให้ตกใจ
amaze = ทำให้ประหลาดใจ frustrate = ทำให้ไม่สมหวัง
amuse = ทำให้เพลิดเพลิน interest = ทำให้สนใจ
annoy = ทำให้รำคาญ please = ทำให้พอใจ
astonish = ทำให้ประหลาดใจ puzzle, perplex = ทำให้งง
bore = ทำให้เบื่อ relieve = ทำให้โล่งใจ
charm = ทำให้จับใจ, เป็นเสน่ห์ satisfy = ทำให้พอใจ
confuse = ทำให้สับสน scare = ทำให้ตกใจ
convince = ทำให้เชื่อ shock = ทำให้ตกใจ
daze = ทำให้งง stun = ทำให้งง
delight = ทำให้ยินดี surprise = ทำให้ประหลาดใจ
disappoint = ทำให้ผิดหวัง terrify = ทำให้ตกใจ
disgust = ทำให้สะอิดสะเอียน threaten = ขู่ให้กลัว
embarrass = ทำให้ลำบากใจ thrill = ทำให้สยองขวัญ
exhaust = ทำให้เหนื่อย tire = ทำให้เหนื่อย, ทำให้เบื่อ
excite = ทำให้ตื่นเต้น upset = ทำให้สบายใจ
fascinate = ทำให้สนใจ, ตรึงใจ
@ ถ้าใช้ในรูป Verb แท้ แปลว่า ทำให้...
- Peter's courage astonished us. [ทำให้..ประหลาดใจ]
@ ถ้านำมาใช้เป็น complement ของ Verb to be ในรูป present participle และ past participle ความหมายจะต่างกัน คือ
# V. to be + V.-ing มีความหมายทาง active = น่า...
# V. to be + V.3 มีความหมายทาง passive = รู้สึก...
- That lecture was boring. [น่าเบื่อ]
- Peter was tired after examination. [รู้สึกเหนื่อย]

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

กระบี่กระบอง

ความเป็นมาของกระบี่กระบอง

กระบี่ - กระบอง หมายถึง การแสดง การเล่น การฝึก การต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธโบราณของไทยเราที่ใช้ต่อสู้ป้องกันตัว ป้องกันประเทศในสมัยก่อน โดยทำเลียนแบบอาวุธจริง เป็นไม้ โลหะ หนังสัตว์ เช่น ดาบ หอก ง้าว ดั้ง เขน โล่ เป็นต้น

ชาติไทยเป็นชนชาติที่มีการต่อสู้ ศึกสงครามเพื่อป้องกันประเทศ รักษาความเป็นเอกราชของแผ่นดินที่ยาวนานชนชาติหนึ่ง คนไทยในยุคแรก ๆ ที่เริ่มก่อตั้งแผ่นดินสุวรรณภูมิแหลมทองมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ บรรพบุรุษในยุคดังกล่าวได้อาศัยสติปัญญา ความกล้าหาญ และใช้อาวุธนานาชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่นและกองทัพเข้าต่อสู้ป้องกันมาโดยตลอด เริ่มจากกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ ชาติไทยเป็นชาติที่รักสงบมากกว่าที่จะคิดเบียดเบียนใคร ความที่เป็นชาติที่รักสงบจึงมักถูกรังแกอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้คนในชาติสมัยก่อนต้องดิ้นรนช่วยตัวเองทั้งชายและหญิง บรรดาทหารกล้าตลอดจนชาวบ้านต่างฝึกฝน เสาะหาเรียนวิชาฟันดาบ และการต่อสู้ด้วยอาวุธนานาชนิด จึงเกิดมีการฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำ จนถึงขั้นประลองฝีมือ
ในสมัยก่อน การประลองแบบแรกเป็นเรื่องจริงจังอาศัยหลักวิชาการต่อสู้เป็นหลัก จึงมีคนนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าประลองกับชาวต่างชาติ หรือชาวตะวันตกที่ใช้อาวุธของเขาเป็นหลักก็ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้น (ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ยังมีการประลองมวย และการต่อสู้ด้วยอาวุธหน้าพระที่นั่งเหมือนกัน)
ผู้เรียบเรียงคิดว่าการประลองทั้งสองแบบส่วนใหญ่คงจะมีปะปนกัน เพราะแบบที่สองให้ความสนุกสนานในการชมควบคู่กันไป และแบบที่สอง นี้คงจะพัฒนาการเล่นการแสดง ทำเลียนแบบ นัดแนะลูกไม้ แต่ไม่มีอันตรายใด ๆ นอกจากบาดเจ็บเมื่อพลาดพลั้งบางครั้ง และมีคนนิยมดูมากขึ้น เมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1 - 2 มักจะเรียกว่า การประลองดาบ การประลองหอก การประลองยิงธนู เป็นต้น และเรียกบรรดาผู้คนที่มีวิชาความรู้เรื่องฟันดาบว่า นักดาบ นำหน้าสำนักหรือหมู่บ้านชุมชนนั้น ๆ เช่น นักดาบจากบ้านบางระจัน นักดาบจากกรุงศรีอยุธยา นักดาบจากพุกาม ทหารจากพม่า ลาว เขมร แต่จะไม่มีใคร เรียกว่า นักกระบี่กระบอง เพราะคำว่า กระบี่ – กระบอง เกิดหลังรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์คำว่า กระบี่ – กระบอง มีคำกล่าวถึงที่มาของคำนี้อยู่หลายประการ แต่ยังมีเหตุผลที่น่าคิดและน่าเชื่อถือได้อีก ประการหนึ่ง กล่าวคือ
เรื่องรามเกียรติ์ กระบี่ หมายถึง หัวหน้าฝ่ายลิง(หนุมาน) ถือตรีหรือสามง่ามสั้น ๆ เป็นอาวุธ ลิงรูปร่างเล็กเคลื่อนไหวเร็ว แคล่วคล่องว่องไว ลูกน้องพลลิงทั้งหลายบางตัวก็ใช้พระขรรค์เป็นอาวุธ
กระบอง หมายถึง พวกยักษ์ที่พกกระบองเป็นอาวุธ ยักษ์มีรูปร่างใหญ่โต เคลื่อนไหวช้า เพราะฉะนั้นการจัดระเบียบเรียกแยกประเภท อาวุธที่ใช้แสดงต่อสู้ป้องกันตัวน่าจะมาจากการแยกฝ่ายยักษ์และลิง โดย ถือว่าลิงรูปร่างเล็กและผู้พากย์โขนมักเรียกขนานนามว่า ขุนกระบี่ ซึ่งหมายถึง หนุมานหัวหน้าลิง ซึ่งมีตรีหรือสามง่ามสั้นพกเป็นอาวุธประจำกาย และพลลิงตัวอื่น ๆ พกอาวุธสั้น เช่น พระขรรค์ เป็นต้น
ฉะนั้นคำว่า "กระบี่" จึงถูกนำมาเป็นคำเรียกแยกให้รู้ว่าอาวุธสั้นทั้ง หลายจะรวมเรียกว่า กระบี่ ซึ่งมี ดาบ โล่ ดั้ง เขน ไม้ศอกสั้น มีดสั้น พระขรรค์ เคียว ขวาน ตรี สามง่ามสั้น และ สีโหล่
“กระบอง" มาจาก ยักษ์ ที่ถือกระบองเป็นอาวุธยักษ์รูปร่างใหญ่โตและ การเคลื่อนไหวไม่ไวเท่าลิง อาวุธนี้จึงถูกจัดเรียกว่า กระบอง ไม่ว่าสั้นหรือยาวเป็นหัวหน้า ให้ความหมายรวมเป็นของยาวทั้งมวล ถ้าพูดตามความ จริงแล้วการเคลื่อนไหวการต่อสู้จะทำได้ดีซึ่งส่วนมากจะเป็นวงนอก ส่วนของสั้นจะทำได้ทั้งวงนอกและวงใน
ฉะนั้นคำว่า “กระบอง“ จึงถูกแยกเรียกเป็นที่รวมของอาวุธยาวที่ใช้แสดงทั้งหมด เช่น พลอง กระบอง ง้าวทุกชนิด โตมร ทวน หอก เป็นต้น
การเรียกกระบี่กระบองยังมีหลักฐานให้เห็นชัดในเรื่องอาวุธที่นิยมใช้แสดงและเล่นกัน คือ คู่ของไม้ศอกสั้นกับพลอง นั่นคือความหมายที่ถูกจัดให้เห็นว่า อาวุธสั้นคือลิง ผู้แสดงจะแสดงถึงหลักวิชาความคล่องแคล่วว่องไว ส่วนพลองหรือกระบองคือตัวแทนของยักษ์เป็นประเภทอาวุธยาว

ที่มา : http://th.wikipedia.org

รวบรวมวิทยาศาตร์ทั่วไปและอิสลาม





วันอังคาร, พฤศจิกายน 11, 2008
เลเซอร์ (laser)
ย่อมาจากคำว่า Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation ในทางฟิสิกส์ คือ อุปกรณ์ที่ให้กำเนิดลำแสง ที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รวมกันระหว่างกลศาสตร์ควอนตัมกับอุณหพลศาสตร์ ซึ่งพลังงานแสงเลเซอร์ สามารถมีคุณสมบัติได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการออกแบบ เลเซอร์ส่วนมากจะเป็นลำแสงที่มีขนาดเล็ก มีการเบี่ยงเบนน้อย (low-divergence beam) และสามารถระบุความยาวคลื่นได้ง่าย โดยดูจากสีของเลเซอร์ ถ้าอยู่ในสเป็กตรัมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (visible spectrum) ซึ่งเลเซอร์นี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นการรวมพลังงานแสงที่ส่งออกมาจากหลายความยาวคลื่นเข้าด้วยกัน
เลเซอร์ จะหมายรวมไปถึงการให้พลังงานผ่านทางสื่อนำแสง ซึ่งสื่อนำแสงอาจเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว ก๊าซ หรืออิเล็กตรอนอิสระที่มีคุณสมบัติสามารถนำแสงได้ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด ออบติคอล คาวิตี้ (Optical cavity) จะประกอบไปด้วยกระจก 2 อัน ที่จะจัดเรียงแสงเข้าด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่แต่ละครั้งจะผ่านสื่อนำแสง โดนหนึ่งในกระจกนั้น (Output coupler) จะส่งลำแสงออกมา
ลำแสงเลเซอร์ ที่ผ่านทางสื่อนำแสงจะมีความยาวคลื่นเฉพาะ และมีพลังงานเพิ่ม ซึ่งกระจกนี้จะพยายามทำให้แสงส่วนมาก สามารถผ่านทางสื่อนำแสงให้ได้ และออกมาเป็นลำแสงเลเซอร์ กระบวนการเหนี่ยวนำลำแสงเพื่อเพิ่มพลังงานนี้ จะใช้พลังงานไฟฟ้าหรือแแสงในหลายความยาวคลื่น ซึ่งในการทดลองแต่ละครั้ง ความยาวคลื่นของแสงในแต่ละความยาวคลื่น จะส่งผลโดยตรงต่อคุณสมบัติ รูปร่าง และความยาวคลื่นของลำแสงเลเซอร์ที่สร้างออกมา
การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเลเซอร์ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1960 โดย ทีโอดอร์ ไมแมน (Theodore Maiman) ที่สถาบันวิจัย ฮิวจ์ (Hughes Research Laboratories) ทุกวันนี้เลเซอร์กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้หลายพันล้านดอนล่าร์ ผลผลิตจากงานวิจัยเลเซอร์ และกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย มีให้เห็นอย่างเช่น แผ่นดีวีดี แผ่นซีดี เครื่องเล่นดีวีดี เครื่องอ่านบาร์โค้ด อุปกรณ์ตัดโลหะด้วยเลเซอร์ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าเลเซอร์มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ ด้านอุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ หรือแม้กระทั่งด้านการทหาร ก็เพราะว่าเลเซอร์สามารถควบคุมความยาวคลื่นตามที่ต้องการได้

เลเซอร์ เป็นบทความเกี่ยวกับ ฟิสิกส์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้นข้อมูลเกี่ยวกับ เลเซอร์ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ หรือ ดูเพิ่มที่ สถานีย่อย:ฟิสิกส์
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 8:29 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
LHC ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์
LHC ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ หมวด » เทคโนโลยี » คอมพิวเตอร์
Subject: LHC ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์
ไม่รู้จะตรงหมวดอ่ะเปล่า เพราะหาหมวดเฉพาะไม่ได้อ่ะ เป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ครับ
เป็นการทดลองที่จะทำการเดินเครื่องเต็มรูปแบบวันที่ 10 กันยายน นี้ครับ เวลาประมาณ 9 โมงเช้าของประเทศเขานั่นล่ะ
เห็นข่าว 3 มิติ ของช่อง 3 เอามาออก และได้รับข้อมูลมานิดหน่อย เลยเอามาแบ่งปันครับ ถ้ามันเกิดเหตุร้ายขึ้นจริงๆ ก็ขอให้คนไทยรักกันครับ



Large Hadron Collider (LHC) เป็นเครื่องเร่งความเร็วอนุภาค ของศูนย์วิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตร เป้าหมายของ LHC คือใช้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคแล้วเอามาวิ่งชนกัน เพื่อตรวจสอบทฤษฎีทางฟิสิกส์อนุภาคว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าสร้างขึ้นมาได้จริงตามทฤษฎี วงการฟิสิกส์จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก LHC ตอนนี้กำลังสร้างอยู่และมีกำหนดเปิดใช้งานเดือนพฤษภาคมนี้(2008)
อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่คาใจเรื่องความปลอดภัยของ LHC ในหลายประเด็น เช่นว่า การใช้งาน LHC อาจก่อให้เกิดแบล็คโฮล (หลุมดำ)ขนาดเล็กขึ้นมาทำลายล้างโลก หรือเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกให้เหลือข้างเดียวได้ ล่าสุดได้มีคนยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐ ให้กระทรวงพลังงานสหรัฐและห้องทดลอง Fermilab ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกของ LHC ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทางฝ่ายสนับสนุน LHC เองก็ออกมาโต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแต่อย่างใด ส่วนศาลจะรับฟ้องหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างกระบวนการด้านเอกสาร '

แม้นักฟิสิกส์ทั่วโลกจะใช้เวลาถึง 14 ปีและลงทุนไปกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่ใหญ่สุดในโลก ภายใต้ความร่วมมือขององค์การศึกษาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป 'เซิร์น' (Cern) เพื่อเร่งให้อนุภาคโปรตอนชนกัน แล้วสร้างพลังงานและเงื่อนไขที่เหมือนกับเสี้ยววินาทีที่ 1 ในล้านล้านล้านหลังเกิดบิกแบง (Big Bang) โดยนักวิทยาศาสตร์จะวิเคราะห์เศษซากที่เกิดขึ้น เพื่อไขปริศนาธรรมชาติของมวลและแรงใหม่ๆ รวมถึงความสมมาตรของธรรมชาติด้วย

หากแต่วอลเตอร์ แอล.วากเนอร์ (Walter L.Wagner) ผู้อาศัยอยู่ในมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา และศึกษาวิจัยฟิสิกส์และรังสีคอสมิกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) ทั้งยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยนอร์เธิร์นแคลิฟอร์เนียในซาคราเมนโต (University of Northern California in Sacramento) และลูอิส ซานโช (Luis Sancho) ซึ่งระบุว่าทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีเวลาและอาศัยอยู่ในสเปน ได้ฟ้องต่อศาลฮาวายเพื่อเรียกร้องสิทธิให้ระงับการทดลองของเซิร์น เนื่องจากอาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กที่อาจ 'กินโลก' หรือทำให้เกิดอนุภาคแปลกๆ ที่เปลี่ยนโลกให้หดกลายเป็นก้อนที่มีความหนาแน่นสูง

ทั้งนี้แม้จะฟังดูประหลาด แต่กรณีนี้ก็เป็นประเด็นเคร่งเครียดที่สร้างความวิตกให้กับนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ กล่าวคือพวกเขาจะประมาณความเสี่ยงจากการทดลองใต้ดินที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนี้ได้อย่างไร และใครที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะหยุดหรือเดินหน้าการทดลอง

สรุปคือเครื่องเร่งอนุภาค เพื่อจะทำให้ตัว LHC ทำความเร็วไปแตะระดับความเร็วแสง เพื่อทำให้เกิดปรากฎการใหม่ที่มนุษยชาติไม่เคยมีไครทำและทำได้ ถ้าทำได้สำเร็จจริงจะเป็นผลแห่งความรู้ใหม่อันมหาศาลทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลก เอาแบบง่ายๆ ถ้าทำสำเร็จจะเป็นพื้นฐานของการทำเครื่อง Time Machine แต่ถ้าสำเร็จจริงผลเสียที่ตามมา ที่มีกลุ่มคนต่อต้านกันอยู่คือ มันเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก การประเมินผลเสียที่เกิดขึ้นเป็นแค่การสมมุติฐานและคำนวนตามทฤษฎีเท่านั้น จึงเป็นไปได้ทั้งสองทางคือ อาจจะเป็นผลที่ดีมาก หรือผลเสียมากต่อมนุษยชาติก็ได้ ดีก็ดีไปแต่ข้อเสียก็คือ การทำให้อะไรสักอย่างบนโลกใบนี้เร็วในระดับไปแตะก้นความเร็วแสงได้จริงมันอาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดหนึ่งขึ้นมาได้ และอาจจะดูดกลืนทุกสิ่งบนโลกใบนี้ให้หายไปเลยก็ได้ครับ ทั้งผลร้ายและผลดีนั้น คำนวนตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ทั้งนั้นครับ ซึ่งไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ในการทดลองจริงได้สำเร็จ

ไม่ควรมองเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ เพราะเรื่องนี้บอกว่าเรามาจากที่ไหนแล้วจะสิ้นสุดตรงไหนอีกอย่างการทดลองจะมีขึ้นเร็วๆนี้
ไม่แน่นะครับถ้าเกิดความผิดพลาดในการทดลองขึ้นจริงๆ เช่นทำให้แม่เหล็กของโลกเหลือขั้วเดียว รึอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่นอกเหนือการคำนวณ เราคงได้สนุกกันแน่ ตอนนี้ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย เดือนกันยาก็ได้มีลุ้นครับ
มีความกลัวไปต่างๆนานา ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่น่ากลัวคือมันจะสร้าง black hole ขึ้นบนโลก.... ดูดจ๊วบ...
ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเจออะไร หรือไม่เจออะไรเลย
เราอาจจะตายกันหมด หรือตายกันซักค่อนโลก ยุโรปอาจจะหายไปจากแผนที่โลกเลยก็ได้
อยากทำอะไรก็ทำซะ จะบอกรักใครก็บอกซะ โชคดีคับ


โดย: ZeeOut
ตั้งเมื่อ: 01:52 น. 9 ก.ย. 2008
แท็ก: ซินโครตรอน, เครื่องเร่งอนุภาค
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 8:25 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: slam
วิทยาศาสตร์กับอิสลาม


บุหรี่
ทรรศนะอิสลามกับสิ่งเสพติด ไม่มีตัวบทจากอัลกุรอานและอัลฮาดีษที่ชี้ขาดโดยตรงถึงเรื่องการ สูบบุหรี่ หรือการเสพ สิ่งเสพติด ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้ามหรือเป็นสิ่งอนุญาต แต่หลังจากที่ทำการค้นคว้าพบว่าสิ่งที่อยู่ในบุหรี่คือ นิโคติน ซึ่งเป็น สารเสพติด ที่ก่อให้เกิดการมึนเมา ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมา ถึงแม้ว่าจะน้อยก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติ อิสลาม เพราะได้มีรายงานจากท่านอีหม่ามอะฮฺมัดและท่านอีหม่ามอบูดาวุดว่า عن أم سلمة رضي الله عنها قالت: (( نهى رسول الله صلى الله عليه وسلم عن كل مسكر ومفتر)) رواه الإمامان أحمد وأبو داود. ความว่า: รายงานจากพระนางอุมมุซาลามะฮฺ (รอฏิฯ) ซึ่งนางได้กล่าวว่า “ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ (ศ็อลฯ) ได้ห้ามจากทุก ๆ สิ่งที่ทำให้มึนเมาและขาดสติ” และในเรื่องนี้ มีนักนิติศาสตร์อิสลามหลายท่านที่ให้ทัศนะต่าง ๆ กันไป บางท่านให้ทัศนะว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งมักโร๊ะไม่ใช่สิ่งต้องห้าม และผมเชื่อว่าผู้ที่ให้ทัศนะว่ามักโร๊ะนั้น อาจจะไม่รู้ถึงข้อแท้จริงในด้านของการแพทย์ และอาจจะไม่รู้ถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสั่งใช้และสั่งห้ามในอัลกุรอานและอัลฮาดีษ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะยืนยันดังต่อไปนี้ 1-การสูบหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง และยังเป็นอันตรายต่อครอบครัว สังคม และเศรษฐกิจ และกฎบัญญัติอิสลามได้กล่าวไว้ว่า (التحريم يتبع الضرر) “ข้อห้ามจะติดตามอันตรายมา” ทุก ๆ สิ่งที่เป็นอันตรายต่อตนเอง ผู้อื่น และทรัพย์สิน ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะการสั่งห้ามนั้นเป็นการป้องกันจากอันตราย ดังนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งต้องห้าม 2- ท่านอิบนุอับบาสได้รายงานว่าท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า (( لاضرر ولا ضرار )) ความว่า: “ไม่มีการสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและไม่มีการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น” ดังนั้นการสูบ บุหรี่ นั้นเป็นอันตรายกับตนเองและผู้อื่นด้วย และเนื่องจากอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮฺบากอเราะฮฺโองการที่ 195 ว่า ﴿وَلاَ تُلْقُوْا بِأَيْدِيْكُمْ إِلَى التَّهْلُكَةِ﴾ ความว่า: “และจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความพินาศ” 3-การสูบบุหรี่เป็นการทำลายทรัพย์สิน และการทำลายทรัพย์เป็นสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติอิสลาม เพราะท่านอีหม่ามบุคอรีย์ได้รายงานว่า أنّ النبي محمدا صلى الله عليه وسلم قال: ((إنّ الله حرم عليكم إضاعة المال)) رواه البخارى. ความว่า: แท้จริงท่านนบีมูฮำมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงห้ามพวกท่านจากการทำลายทรัพย์สิน” ดังนั้นการซื้อบุหรี่ไม่เพียงเป็นการทำลายทรัพย์สิน แต่ยังเป็นการทำลายตนเองและผู้อื่นด้วย และในภพหน้า (วันกิยามะฮฺ) เขาจะถูกถามถึงเรื่องดังกล่าว เพราะได้มีรายงานมาจากท่านอีหม่ามตีรมีซีว่า عن الأسلمى أنّ رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: ((لا تزول قدما عبد يوم القيامة حتى يسأل عن أربع: عن عمره فيم أفناه ، وعن علمه فيم فعل به ، وعن ماله من أين اكتسبه ، وفيم ضيعه ، وعن جسمه فيم أبلاه)) رواه الإمام الترمذى. ความว่า: รายงานจากท่านอัลอัสลามีว่า แท้จริงท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ในวันกิยามะฮฺสองเท้าของบ่าวยังคงก้าวต่อไป จนกระทั้งเขาได้ถูกถามถึงสี่เรื่อง (หนึ่ง) จากอายุของเขา อะไรที่ทำลายอายุของเขา? (สอง) จากความรู้ของเขา อะไรที่เขาได้ปฏิบัติด้วยกับความรู้นั้น? (สาม) จากทรัพย์สินของเขา จากที่ไหนที่เขาได้แสวงหาทรัพย์สินนั้นมา? และอะไรที่ทำให้ทรัพย์นั้นหมดไป? (สี่) จากร่างกายของเขา อะไรที่ได้มาทดสอบร่างกายของเขา” จากอัลฮาดีษนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าในภพหน้า (วันกิยามะฮฺ) อัลลอฮฺ(ซุบฮาฯ)จะทรงถามบ่าวของพระองค์ถึงสี่เรื่อง คือ 1-อายุ ด้วยกับคำถามที่ว่า ตายด้วยสาเหตุอะไร? 2-ความรู้ ด้วยกับคำถามที่ว่า นำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติหรือไม่ และปฏิบัติอย่างไร? 3-ทรัพย์สิน ด้วยกับคำถามที่ว่า ได้ทรัพย์สินมาด้วยวิธีใด? และใช้จ่ายไปในเรื่องอะไรบ้าง? 4-ร่างกาย ด้วยกับคำถามที่ว่า ได้ถูกทดสอบอย่างไรบ้าง ในขณะมีชีวิตอยู่? 4-บุหรี่ ถือว่าเป็น ยาพิษ ชนิดหนึ่งที่บันทอนชีวิตมนุษย์ทีละน้อย ๆ จนท้ายที่สุดก็เริ่มมีอาการที่เห็นได้ชัด อิสลามได้สัญญาแก่ทุก ๆ คนที่ดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย ด้วยกับวจนะของท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ที่ว่า ((من شرب سما فـقتل نفسه فهو يتحساه في نار جهنم خالد مخلدا فيها)) ความว่า: “ผู้ใดที่ดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย แน่นอนเขาจะได้ลิ้มรสของพิษดังกล่าวในนรกยะฮันนัมตลาดกาล” 5-กลิ่นของบุหรี่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น จำเป็นที่เราจะต้องปลีกตัวออกห่างและไม่ให้เข้าไปป่นแปกับผู้สูบบุหรี่ เพราะการสูดกลิ่นบุหรี่นั้นเป็นการทำลายสุขภาพร่างกาย ท่านอีหม่ามบุคอรีย์และท่านอีหม่ามมุสลิมได้รายงานามาว่าท่านร่อซู้ลได้กล่าวไว้ว่า ((من أكل بصلا أو ثوما فليعتزلنا وليعتزل مسجدنا وليقعد في بيته)) ความว่า: “ผู้ใดกินหัวหอมหรือกระเทียม จงปลีกตัวออกห่างจากเรา และจงปลีกตัวออกห่างจากมัสยิดของเรา และจงเข้าไปนั่งในบ้านของเขา” กลิ่นของบุหรี่มักโร๊ะฮฺและเป็นอันตรายไม่น้อยไปกว่ากลิ่นของหัวหอมและกระเทียมเลย และได้มีรายงานจากวจนะของท่านร่อซู้ลที่ว่า ((إنّ الملائكة تتأذى مما يتأذى منه الناس)) ความว่า: “แท้จริงมลาอีกะฮฺจะได้รับความเดือดร้อนจากสิ่งที่มนุษย์ได้รับความเดือดร้อน” 6-เมื่อผู้เสพบุหรี่สงสัยว่าการสูบบุหรี่เป็นเรื่องที่อิสลามห้ามหรือไม่ ก็จงทำความเข้าใจกับวจนะของท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) นี้ ((دع ما يريبك إلى ما لا يريبك)) ความว่า: “ท่านจงละทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านสงสัย (โดยมุ้งปฏิบัติ) ไปยังสิ่งที่ไม่ทำให้ท่านสงสัย” ท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ได้สั่งให้เรามุสลิมออกห่างจากสิ่งที่คลุมเครือ โดยให้ละทิ้งสิ่งดังกล่าวและให้เลือกปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ทำให้เราเกิดความสงสัย 7-กระทรวงสาธารณะสุขโลก ได้ลงมติว่า นิโคตินที่อยู่ใน ยาเส้น เป็นสารที่ทำให้เกิดการมึนเมา และทุก ๆ สิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมาเป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยไม่ทำให้เกิดการมึนเมาก็ตาม แต่เมื่อเสพเข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดการมึนเมา จากเจ็ดสาเหตุนี้ จึงตัดสินได้ว่าการสูบบุหรี่หรือสิ่งเสพติดอื่น ๆ เป็นสิ่งต้องห้ามตาม บทบัญญัติอิสลาม ไม่ใช้สิ่งมักโร๊ะฮฺ เพราะในแต่ละสาเหตุจากสาเหตุทั้งเจ็ดนี้ถูกอ้างอิงไปยังอัลกุรอานและอัลฮาดีษซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตาม.
หมวดหมู่: วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีคำสำคัญ: บุหรี่ ห้าม อิสลาม
สร้าง: จ. 18 ก.พ. 2551 @ 20:38 แก้ไข: จ. 18 ก.พ. 2551 @ 20:38 ขนาด: 14586 ไบต์
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 7:38 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: สลาม
วันเสาร์, พฤศจิกายน 8, 2008
เรื่องใกล้ตัว
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
๑. รู้ไหมว่านมเปรี้ยวและโยเกิร์ตใช้จุลินทรีย์เพิ่มรสชาติ
๒. เหล้า เบียร์ ไวน์ สาโท ขนมปัง ใช้ยีสต์ในการหมัก
๓. เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว เต้าหู้ยี้ ทำมาจากเชื้อรา
๔. สาร DHA เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง
๕. สารคาร์นีทีนที่พบในผลส้มแขก ช่วยสลายไขมันได้
๖. กรดจากน้ำมะนาวสามารถกำจัดคราบไขมันได้
๗. การแช่อาหารในน้ำมันพืชช่วยป้องกันไม่ให้อาหารเสีย
๘. ผลไม้ ผัก หรือของดอง กิมจิ เกิดจากแบคทีเรีย
๙. การซักผ้าด้วยน้ำอุ่นจะช่วยกำจัดคราบได้ดี
๑๐. โคเอนไซม์ Q10 ช่วยทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น
๑๑. ถ้ากินยาปฏิชีวนะมาก ๆ อาจจะขาดวิตามิน K, B12
๑๒. ไข้หวัดนกเกิดจากเชื้อไวรัสตระกูลเดียวกับเอดส์
๑๓. สบู่ทำมาจากไขมันซึ่งทำปฏิกิริยากับเบส
๑๔. การนอนขนานกับพื้นช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก
๑๕. คนเป็นโรคเอดส์มักตายเพราะโรคแทรกซ้อน
๑๖. ในผงซักฟอกมีสารพวกฟอสฟอรัสที่พืชน้ำต้องการ
๑๗. คราบน้ำมันที่ผิวน้ำจะทำให้ O2 ไม่ละลายลงในน้ำ
๑๘. บ้านมักจะหันไปในแนวทิศทางที่มีลมพัดผ่าน
๑๙. การทุ่มลูกบอลได้ไกลไม่จำเป็นต้องทำมุม 45 องศา
๒๐. ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองมีคุณค่าทางโปรตีนสูงมาก
๒๑. ปัจจุบันนอกจากมีโด๊ปยาแล้ว ยังมีการโด๊ปยีนด้วย
๒๒. คาร์บอนนาโนทิวแข็งแรงกว่าใยแมงมุม และเพชร
๒๓. โรคกระเพาะเรื้อรังเกิดจากเชื้อแบคทีเรียทนกรดสูง
๒๔. ไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการกลายพันธุ์มากที่สุด
๒๕. อากาศอบอ้าวก่อนฝนตกเกิดจากคายความร้อน
๒๖. ฝ้าแลบแต่ไม่มีฟ้าร้อง เกิดจากการสะท้อนกลับหมดของเสียง






การทำงานของร่างกาย











นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้วิจัยและค้นคว้าร่างกายของมนุษย์เราว่า ทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง

01.00 น. คนส่วนใหญ่จะนอนหลับ ร่างกายจะมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมาก
02.00 น. นอกจากตับแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ามาก
03.00 น. ร่างกายทั้งหมดจะพักผ่อน กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย ความดันจะต่ำ ชีพจรจะเต้นช้า การหายใจก็จะช้า
04.00 น. สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยมาก ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายไปในระยะเวลานี้
05.00 น. ไตจะไม่ทำหน้าที่กรอง เนื่องจากเราได้พักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น ในเวลาตื่นนอนอารมณ์จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
06.00 น. ความดันเลือดจะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น
07.00 น. ภูมิต้านทานโรคในช่วงนี้จะดีมาก เพราะร่างกายได้พักผ่อนมาแล้ว
08.00 น. ตับจะทำหน้าที่ขับพิษออกจากร่างกาย ในช่วงนี้ไม่ควรดื่มสุรา
09.00 น. จิตใจ อารมณ์ การทำงานจะดีมากในช่วงนี้
10.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายและสุขภาพจะดีมาก เหมาะที่จะทำงาน
11.00 น. เป็นช่วงที่ขยันขันแข็งในการทำงาน ร่างกายยังไม่อ่อนเพลีย
12.00 น. ช่วงตอนที่จะหยุดงาน ทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ควรจะรอช้ากว่าไปอีกสักหน่อย แล้วทานเอาช่วงเวลาประมาณ 12.30 หรือ 13.00 น. ก็จะดี
13.00 น. ตับจะพักผ่อน เนื่องจากเวลาการทำงานที่ดีได้ผ่านไปแล้ว ร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย
14.00 น. เป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาด เชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน
15.00 น. ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่ไวมาก สมรรถภาพของพละกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้น
16.00 น. ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
17.00 น. สมรรถภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากนักกีฬาที่ออกกำลังกาย จะมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น
18.00 น. ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลง ขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย
19.00 น. ความดันของเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น อารมณ์จะไม่ค่อยดีนัก มักจะเกิดปากเสียงขึ้นได้ด้วยสาเหตุเล็กๆน้อยๆ
20.00 น. น้ำหนักตัวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้น สะท้อนออกถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว
21.00 น. อารมณ์จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ความจำจะดีขึ้น สามารถคิดสิ่งต่างๆ ออกได้
22.00 น. ในกระแสโลหิต จะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาว อุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง
23.00 น. ร่างกายตระเตรียมพักผ่อน เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ
24.00 น. เข้าสู่ชั่วโมงแห่งการหลับไหล




ได้รับการสนับสนุน Web Hosting จาก SPAComputer.com, ThaWang.com
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 12:40 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: อัสสลามูอาลัยกุม
วันศุกร์, พฤศจิกายน 7, 2008
วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน

น้ำที่ใส่ตุ่มไว้นานๆ อาจทำให้เกิดลูกน้ำได้ วิธีแก้ไม่ให้เกิดลูกน้ำ ให้เอาปูนแดง ที่ใช้กินกับหมาก ปั้นเป็นก้อนกลม และตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นจึงนำไปใส่ในตุ่มสัก 4-5 ก้อน น้ำในตุ่มจะไม่เป็นลูกน้ำอีกเลย ตู้เสื้อผ้าที่ทำด้วยไม้ มักจะถูกพวกแมลงต่างๆ มารบกวน เพื่อป้องกันความ ยุ่งยาก จากแมลงเหล่านี้ ใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำมันสน รองพื้นตู้ที่ติดกับพื้นห้องเอาไว้โดยรอบ จะทำให้แมลงหนีไป ใช้ยาสีฟันขัดเครื่องใช้ที่ทำด้วยแสตนเลส เช่น ช้อนส้อม ชาม จาน โดยเฉพาะ บริเวณลวดลาย ที่ด้ามช้อนส้อม จะช่วยให้สะอาดขึ้น ก้านดอกไม้สั้น ให้ใช้หลอดดูดน้ำหวานเสียบต่อจากปลายก้าน แช่ในน้ำ จัดใส่ แจกันเหมือนดอกไม้ ก้านยาว ดอกไม้จะดูดน้ำขึ้นไปตามหลอดดูด ใช้น้ำสารส้มผสมกับเบียร์ทากระจกที่มัวเป็นฝ้า แล้วขัดด้วยกระดาษ หนังสือพิมพ์ กระจกจะใสเป็นเงา แปรงทุกชนิด เมื่อใช้แล้วควรวางตะแคงข้าง หรือแขวนห้อย อย่าวางหงาย เพราะขนแปรงจะร่วงเร็ว ชามหล่อขาตู้น้ำกับข้าว ควรหยดน้ำมันก๊าด หรือน้ำมันขี้โล้เล็กน้อย จะกันยุง แมลง และมด ไต่บนผิวน้ำ ไปขึ้นตู้กับข้าว รอยสนิมบนเสื้อผ้า สามารถลบออกได้ โดยใช้เกลือผสมน้ำมะนาว ถูทาก่อน ซักน้ำธรรมดา แล้วนำไปตาก ให้แห้งกลางแดด ถ้าประตูฝืด มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แทนที่จะใช้น้ำมันหยด ให้ใช้น้ำสบู่เหลวๆ หยดลงบนบานพับ ความฝืดก็จะหายไป และสามารถล้างให้สะอาดได้ง่ายกว่าน้ำมัน ถ้าล้างแก้วน้ำแล้ว ไม่สะอาดสมใจ ให้ใช้น้ำส้มสายชูล้างอีกครั้ง จะทำให้ แก้วใสขึ้น
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 10:31 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: สลาม
ดาราศาสตร์
สำรวจดาวฤกษ์วงแหวนสามชั้น
7 พฤศจิกายน 2551 รายงานโดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
ดาวเอปไซลอนแม่น้ำ (Epsilon Eridani) เป็นดาวฤกษ์ที่นักดาราศาสตร์คุ้นเคยดี เนื่องจากอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เพียง 10.5 ปีแสง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จัดเป็นดาวฤกษ์ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเป็นอันดับที่ 9
นักดาราศาสตร์ให้ความสนใจดาวดวงนี้เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายดวงอาทิตย์ ดาวเอปไซลอนแม่น้ำเล็กกว่า มวลต่ำกว่า และอุณหภูมิต่ำกว่าดวงอาทิตย์เล็กน้อย คาดว่ามีอายุประมาณ 850 ล้านปี และที่สำคัญ มีระบบดาวเคราะห์เป็นบริวารด้วย นั่นคือมีระบบสุริยะเป็นของตัวเอง
การที่ดาวเอปไซลอนแม่น้ำมีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์และมีอายุน้อยกว่าดวงอาทิตย ์ทำให้การศึกษาดาวดวงนี้เปรียบเหมือนกับการมองย้อนไปยังอดีตของดวงอาทิตย์ นักดาราศาสตร์สามารถศึกษาต้นกำเนิดและวิวัฒนาการช่วงต้นของระบบสุริยะของเราได้จากการศึกษาดาวเอปไซลอนแม่น้ำนี้
รายงานล่าสุดจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ของนาซาเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้ระบุว่านักดาราศาสตร์เพิ่งพบความคล้ายดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือพบว่าดาวดวงนี้มีแถบดาวเคราะห์น้อยล้อมรอบด้วย มีระยะวงโคจรห่างจากดาวแม่เท่ากับแถบดาวเคราะห์น้อยของดวงอาทิตย์พอดี
ระบบสุริยะของเราก็มีแถบดาวเคราะห์น้อยคั่นอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ประกอบด้วยดาวเคราะห์น้อยจำนวนนับล้าน มวลรวมของดาวเคราะห์น้อยในแถบนี้มีประมาณ 1/20 เท่าของดวงจันทร์โลก
สปิตเซอร์ไมได้พบแถบดาวเคราะห์น้อยแค่แถบเดียว แต่พบถึงสองแถบ แถบดาวเคราะห์น้อยแถบที่สองอยู่ที่ระยะของวงโคจรของดาวยูเรนัส มีมวลรวมใกล้เคียงกับดวงจันทร์ของโลก
เท่านั้นยังไม่พอ สปิตเซอร์ยังพบสิ่งคล้ายแถบดาวเคราะห์น้อยอีกแถบหนึ่งแต่ประกอบด้วยวัตถุจำพวกน้ำแข็งอยู่ที่ระยะ 35-100 หน่วยดาราศาสตร์จากดาวแม่ แถบวัตถุน้ำแข็งนี้คล้ายกับแถบไคเปอร์ของระบบสุริยะของเรา แต่แถบนอกของเอปไซลอนแม่น้ำมีมวลรวมของวัตถุมากกว่าแถบไคเปอร์ของเราถึง 100 เท่า
นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณไว้ว่า ขณะที่ดวงอาทิตย์ยังมีอายุได้ 850 ล้านปี แถบไคเปอร์ของดวงอาทิตย์ก็ไม่ต่างจากแถบนอกของเอปไซลอนแม่น้ำนี้ ต่อมาวัตถุในแถบไคเปอร์บางส่วนก็กระเด็นออกไป บางส่วนก็หลุดเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน ทำให้เกิดยุคชนกระหน่ำยุคหลัง ซึ่งได้ที่ทิ้งหลักฐานไว้อย่างชัดเจนบนพื้นผิวของดวงจันทร์ เชื่อว่าอนาคตอันใกล้ของดาวเอปไซลอนแม่น้ำก็คงเกิดเหตุการณ์ที่ดำเนินไปในลักษณะเดียวกัน
ดาวเอปไซลอนแม่น้ำจึงเป็นดาวฤกษ์ที่มีวงแหวนถึงสามวง ช่องว่างระหว่างวงแหวนเป็นหลักฐานที่ดีเยี่ยมที่แสดงถึงการกวาดเซาะโดยดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ เช่นเดียวกับสิ่งที่ดวงจันทร์ของดาวเสาร์กระทำต่อวงแหวนดาวเสาร์
ข้อมูลจากสปิตเซอร์นี้แสดงว่าต้องมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีวงโคจรใกล้กับวงแหวนชั้นในสุด ซึ่งเป็นเรื่องเหมาะเจาะอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2543 ได้มีการศึกษาการเคลื่อนที่ตามแนวเล็งของเอปไซลอนแม่น้ำและพบหลักฐานว่าดาวดวงนี้มีดาวเคราะห์อยู่ที่ตำแหน่งเดียวกัน
แต่ในความสอดคล้องนี้ก็มีความขัดแย้งตามมาด้วย การศึกษาในคราวนั้นชี้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีวงโคจรรีมาก มีความรีประมาณ 0.7 แต่การสำรวจล่าสุดนี้กลับให้ผลไม่สอดคล้องกัน เพราะหากมีดาวเคราะห์โคจรแบบรีนั้นที่ตำแหน่งดังกล่าวจริง สนามความโน้มถ่วงของมันย่อมไปปั่นป่วนวงแหวนวงในจนสลายไปนานแล้ว
ดาวเคราะห์ดวงที่สองโคจรอยู่ใกล้วงแหวนวงกลาง และดาวเคราะห์ดวงที่สามอยู่ห่างจากดาวฤกษ์ 35 หน่วยดาราศาสตร์ ใกล้กับขอบด้านในของแถบไคเปอร์ของเอปไซลอนแม่น้ำ
เป็นไปได้ว่าการสำรวจในอนาคตอาจก้าวหน้าถึงขั้นตรวจพบดาวเคราะห์ที่ยังมองไม่เห็นของเอปไซลอนแม่น้ำได้โดยตรง และอาจถึงขั้นตรวจพบดาวเคราะห์หินที่โคจรอยู่ในวงแหวนชั้นในได้เลยก็เป็นได้
ที่มา:
This nearby star is a triple-ring system - astronomy.com
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 10:18 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: สวัสดี
ประวัติบารก โอบาม่า
พลิกปูมประวัติ"บารัก โอบามา"ปธน.ผิวสีคนแรกของสหรัฐ
สร้างประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยสำหรับบารัก โอบามา นักการเมืองผิวสีผู้จรัสแสงของสหรัฐ หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เหนือ"สิงห์เฒ่า"จอห์น แม็คเคน คู่แข่งแห่งพรรครีพับลิกัน ผงาดเป็นผู้นำทำเนียบขาว ด้วยฉันทามติจากคะแนนเลือกตั้งท่วมท้นของชาวอเมริกัน ที่แห่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางกระแสจับตาว่า ที่สุดแล้ว บารัก โอบาม่า จะทำสิ่งที่หลายคนทั่วโลกลุ้นเอาใจช่วยได้สำเร็จหรือไม่ ในการคว้าชัยเป็นประธานาธิบดี"ผิวดำ"คนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐ ประวัติของนายบารัก โอบาม่า นั้น เกิดวันที่ 4 ส.ค.ปี 1961 ถือเป็นวุฒิสมาชิกหนุ่มไฟแรงแห่งสภาคองเกรส จากรัฐอิลลินอยส์ เขาเป็นชาวอเมริกัน-แอฟริกา คนแรก ที่ได้ถูกเสนอชื่อจากพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัญ(เดโมแครต)เสนอชื่อแข่งขันศึกประธานาธิบดีสหรัฐ โดยสามารถสร้างปรากฎการณ์เหลือเชื่อ พลิกชนะนางฮิลลารี คลินตัน วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก ซึ่งถูกมองว่ามีดีกรีการเมืองเหนือชั้นกว่า ก่อนผงาดกลายเป็นนักการเมืองผิวสีที่ได้เข้าสู่เส้นทางชิงชัยศึกผู้นำทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สหรัฐ ทำให้อเมริกาทั่วประเทศและทั่วโลกจับตามองเขาอย่างไม่วางสายตานับตั้งแต่นั้น "โอบามา"จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด เริ่มแรกเขาทำงานเป็นผู้จัดงานชุมชนและประกอบอาชีพเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ก่อนดำรงตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ 3 สมัย ตั้งแต่ปี 1997-2004 โดยเขาสอนกฎหมายด้านรัฐธรรมนูญที่มหาวิทยาลัยโรงเรียนกฎหมายชิคาโก ตั้งแต่ปี 1992-2004 ในฐานะเป็นสมาชิกสภาคองเกรส โอบามามีโอกาสได้ร่วมร่างกฎหมายควบคุมอาวุธขีปนาวุธ และสนับสนุนความสามารถในการตรวจสอบของสาธารณชนต่อการใช้งบประมาณรัฐบาลกลาง และครั้งหนึ่งเคยช่วยร่างกฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการโกงการเลือกตั้งและการล็อบบี้,กม.ด้านอุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลง,ลัทธิก่อการร้ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ และกม.ดูแลทหารอเมริกันที่กลับจากสมรภูมิรบ ขณะเดียวกัน ก็เคยมีประสบการณ์เดินทางเยือนต่างประเทศหลายประเทศ เช่น ภูมิภาคยุโรปตะวันออก,ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ในปี 2003 โอบามาา ได้กลายเป็นประธานคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพและบริการสาธารณชนของสภาสูงประจำรัฐอิลลินอยส์ ในยุคที่พรรคเดโมแครตสามารถผงาดขึ้นมาเป็นพรรคเสียงส่วนใหญ่ของคองเกรส เขาได้สนับสนุนและนำการผ่านกฎหมายตรวจสอบการจัดทำข้อมูลด้านเชื้อผิว ซึ่งทำให้คำร้องต้องบันทึกเชื้อผิวของผู้ขับขี่ที่ถูกควบคุม และออกกฎหมายที่ทำให้รัฐอิลลินอยส์กลายเป็นรัฐแรกที่ให้ฉันทานุมัติต่อการบันทึกเทปเกี่ยวกับการตรวจสอบคดีฆาตกรรม ในปี 2004 โอบาม่าได้เขียนและขึ้นแถลงปราศรัยต่อที่ประชุมแห่งชาติพรรคเดโมแครตเป็นครั้งแรก โดยโอบาม่าซึ่งได้บรรยายว่าปู่ของเขาเป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงความสำคัญต่าง ๆ ด้านสังคมและเศรษฐกิจ พร้อมทั้งตั้งคำถามต่อรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เกี่ยวกับสงครามอิรัก และและมุ่งเน้นเกี่ยวกับพันธะผูกพันต่อทหารอเมริกันที่ออกไปรบนอกประเทศ
นอกจากนี้ เขายังได้วิจารณ์แง่มุมเกี่ยวกับคณะกรรมการเลือกตั้งที่ไม่เป็นกลาง และตั้งคำถามต่อชาวอเมริกันให้ลองค้นหาความสมัครสมานสามัคคีในความแตกต่างของสังคมอเมริกัน โดยระบุว่า"ที่นี่ไม่มีอเมริกาสายกลาง และอเมริกาสายอนุรักษ์ มีแต่เพียงอเมริกาที่เป็นสหพันธรัฐของทุกคน ประโยคดังกล่าวกลายเป็นวรรคทองของเขา ส่งผลให้สื่อมวลชนจับตานักการเมืองหนุ่มไฟแรงผู้นี้ขึ้นมาโดยทันที โดยสื่อมวลชนตีข่าวถ้อยแถลงเผ็ดร้อนตรงไปตรงมาดังกล่าว และส่งผลให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองของสหรัฐเพียงชั่วพริบตา และยังเพิ่มภาษีในการต่ออายุเป็นวุฒิสมาชิกประจำสภาคองเกรสสมัยถัดมาด้วย เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2007 เป็นวันที่วุฒิสมาชิกผิวสีผู้นี้ ได้ประกาศเป็นผู้สมัครตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่รัฐอิลลินอยส์บ้านเกิดของเขา โดยเขาเลือกสถานที่ประกาศตัวคืออาคารสภาเก่าในเมืองสปริงฟิลด์ของรัฐอิลลินอยส์ ที่มีความหมายเชิงสัญญลักษณ์ของการเป็นนักการเมืองผิวสีที่หาญกล้าประกาศตัวเป็นตัวแทนพรรคชิงตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาว เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเคยถูกอดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอร์น ประกาศแถลงสุนทรพจน์อมตะ"บ้านที่แตกแยก"มาแล้วเมื่อปี 1858 โดยตลอดการหาเสียง เขาได้เน้นประเด็นหาเสียงเรื่องการเร่งถอนทหารสหรัฐออกจากอิรัก การเพิ่มการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน การกระจายระบบสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นนโยบายหาเสียงหลักของเขา ในการรณรงค์หาเสียงนั้น ปรากฎว่า โอบามา สามารถระดมทุนได้เงินถึง 58 ล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2007 จากเงินบริจาคจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ"จากหลายฝ่าย สร้างถสิติระดมทุนได้มากเป็นประวัติการรณ์ในช่วง 6 เดือนแรกก่อนการเลือกตั้ง โดยในเดือนม.ค.ปี 2008 เขายังสามารถระดมทุนได้มากเป็นประวัติการณ์เพียงช่วงเดือนเดียวของพรรคเดโมแครต คือ เป็นจำนวน 36.8 ล้านดอลลาร์ ในการแข่งขันกับฮิลลารี ปรากฎว่านายโอบามาได้สร้างปรากฎการณ์"ล้มยักษ์"ขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน โดยเขาสามารถหาเสียงชนะนางฮิลลารีในรัฐต่างๆ โดยเฉพาะศึกซูเปอร์ทิวส์เดย์ ซึ่งเขามีคะแนนคณะกรรมการเลือกตั้งมากกว่านางฮิลลารี 20 เสียง พร้อมกับยังคงเดินหน้าทำสถิติระดมทุนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และชัยชนะอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.โดยเขาได้ประกาศแถลงชัยชนะที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมินเนโซต้า กลายเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงศึกผู้นำทำเนียบขาว กับนายจอห์น แม็คเคน วุฒิสมาชิกรัฐอริโซน่า ที่เป็นผู้ชนะขาดลอยของพรรครีพับลิกัน และได้เลือกนายโจเซฟ ไบเด็น วุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนด้านต่างประเทศ มาเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เขา ทั้งนี้ นายโอบามายังมีงานเขียนเป็นจำนวน 8 ชิ้น รวมทั้งหนังสือล่าสุดเรื่อง"Change We Can Believe In: Barack Obama′s Plan to Renew America′s Promise ด้วย ด้านประวัติชีวิตส่วนตัวนั้น โอบามา ถือกำเนิดที่เมืองฮอนโนลูลู รัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบารัก ฮุสเซน โอบามา ชาวเคนยา และนางแอนดันแฮม ชาวอเมริกันผิวขาว จากรัฐแคนซัส ก่อนที่เขาจะเผชิญชีวิตครอบครัวหย่าร้างเมื่ออายุเพียง 2 ปี โดยพ่อของเขากลับไปยังเคนยา ก่อนจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 1982 เขาได้รับการเลี้ยงดูในรัฐฮาวาย ก่อนถูกย้ายไปอยู่ในอินโดนีเซีย เมื่ออายุ 6 ปี เมื่อมารดาของเขาแต่งงานใหม่กับชาวอินโดนีเซีย ก่อนที่ภายหลังเขาจะต้องสูญเสียบิดาจากอุบัติเหตุรถยนต์ และสูญเสียมารดาจากโรคมะเร็ง ในวัยรุ่นช่วงศึกษาในร.ร.ไฮสคูล โอบามา ยอมรับว่า เขาเคยผ่านประสบการณ์การใช้กัญชา,โคเคน และดื่มมากแล้ว ซึ่งเขาได้กล่าวในการประชุมหัวข้อด้านประธานาธิบดีเมื่อปี 2008 ว่า นั่นเป็นความผิดพลาดทางจริยธรรมครั้งใหญ่ของเขา นายโอบามาสมรสกับนางมิเชล โอบามา หรือมิเชล โรบินสันเมื่อเดือนมิ.ย.ปี 1989 ในขณะที่เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาของกิจการกฎหมายเมืองชิคาโก้ โดยโอบามาและมิเชล ได้ทำงานร่วมกันในฐานะคณะทำงานเดียวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหมั้นเมื่อปี 1991 และแต่งงานเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ปี 1992 และมีทายาทร่วมกัน 2 คน คือ มาเรีย แอน เกิดเมื่อปี 1998 และนาตาชา เมื่อปี 2001 สำหรับทรัพย์สินนั้น นิตยสาร"Money"ระบุเมื่อเดือนธ.ค.ปี 2007 ว่า โอบามา มีทรัพย์สินเฉลี่ย 1.3 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายหนังสือของเขา ขณะที่รายได้ครอบครัวมีจำนวน 4.2 ล้านดอลลาร์
ดูเต็ม
เขียนโดย sciencesamarddeeclub ที่ 10:15 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: สวัสดี
บทความที่เก่ากว่า สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)