1

1
2

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิ่งมหัศจรรย์จากก้อนเลือด







ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเวลาถูกมีดบาดหรือแผลเก่าเริ่มมีเลือดไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ในไม่ช้าเลือดที่ไหลออกมานั้นก็จะหยุด เพราะที่ไหนมีเลือดไหลเลือดก็จะก่อตัวขึ้นเป็นก้อนเพื่อเยียวยารักษาแผลนั้นให้ในเวลาและตรงบริเวณที่ถูกต้อง

นี่อาจเป็นปรากฏการณ์ปกติสำหรับพวกเรา แต่นักเคมีชีววิทยาได้แสดงให้เราเห็นจากการศึกษาค้นคว้าว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากระบบที่ทำงานอย่างสลับซับซ้อนและในระบบนี้หากขาดองค์ประกอบอย่างหนึ่งอย่างใดหรือองค์ประกอบใดได้รับความเสียหาย มันก็จะทำให้กระบวนการของระบบนี้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด

เลือดจะแข็งตัวเป็นก้อนในเวลาที่พอเหมาะพอดีและเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วก้อนเลือดก็จะละลายไประบบนี้ทำงานอย่างไม่ผิดพลาดแม้แต่ในเรื่องรายละเอียดเล็กน้อยที่สุด


ถ้าหากว่าเลือดไหล ก้อนเลือดก็จะก่อตัวขึ้นทันทีเพื่อป้องสิ่งมีชีวิตมิให้ตาย ยิ่งไปกว่านั้นก้อนเลือดจากปกปิดบาดแผลทั้งหมดและที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมันจะจับตัวเป็นก้อนอยู่เหนือและจะยังคงอยู่ด้านบนของบาดแผลเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วเลือดทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตก็จะแข็งตัวและทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นตายได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเลือดจะต้องก่อตัวในเวลาที่พอเหมาะพอดีตรงที่ที่ถูกต้อง


ส่วนที่เล็กที่สุดของไขกระดูกคือเกล็ดเลือดหรือธร็อมโบไซต์ (Thrombocytes)นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เซลเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการแข็งตัวของเลือด โปรตีนอย่างหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าฟอนวิลเลแบรนดร์จะเป็นตัวตรวจสอบให้แน่ใจว่าในกระแสโลหิตที่ไหลเวียนอย่างต่อเนื่องนั้น เกล็ดเลือดเหล่านี้จะไม่หายไปตรงที่ได้รับการบาดเจ็บ เกล็ดเลือดที่ไปกระจุกตัวอยู่ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บนั้นจะปล่อยสารอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกล็ดเลือดอื่นๆมารวมตัวในที่เดียวกันและในที่สุด เซลเหล่านี้จะขึ้นมาบนแผลที่เปิดอยู่ หลังจากนั้นมันก็จะตายหลังจากที่ได้ทำหน้าที่ของมันในการขึ้นมาอยู่ที่แผลแล้ว การเสียสละชีวิตของมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการแข็งตัวของเลือด


ธร็อมบินเป็นโปรตีนอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดง่ายขึ้น สารนี้จะถูกสร้างขึ้นเฉพาะตรงที่มีบาดแผล การสร้างโปรตีนนี้จะต้องไม่มากหรือน้อยไปกว่าที่จำเป็นและจะต้องเริ่มต้นและหยุดในเวลาที่ถูกต้องด้วย มีตัวเคมีมากกว่ายี่สิบชนิดที่ถูกเรียกว่าเอ็นไซม์ซึ่งมีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างธร็อมบิน เอ็นไซม์เหล่านี้สามารถเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาใหม่และหยุดมันได้อีก กระบวนการนี้มีความละเอียดอ่อนมากจนธร็อมบินจะก่อตัวขึ้นก็ต่อเมื่อมีแผลที่แท้จริงเกิดขึ้นแก่เนื้อเยื่อเท่านั้น

ทันทีที่เอ็นไซม์ทำให้เลือดแข็งตัวเกิดขึ้นมาถึงระดับที่น่าพอใจในร่างกายแล้ว ไฟบริโนเจนที่ประกอบด้วยโปรตีนก็จะก่อตัวขึ้น ในชั่วระยะเวลาสั้นๆก็จะมีเส้นใยเกิดขึ้นตรงบริเวณที่มีเลือดไหลออกมา ขณะเดียวกันเกล็ดก็ยังคงเข้ามาสะสมที่บริเวณบาดแผลอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ถูกเรียกว่าก้อนเลือดนั้นก็คือตัวอุดที่เกิดขึ้นจากการสะสมของเกล็ดเลือดนี่เอง เมื่อบาดแผลได้รับการเยียวยารักษาแล้ว ก้อนเลือดนี้ก็จะหายไป ระบบที่สามารถทำให้เกิดก้อนเลือดได้นี้จะกำหนดว่าจะให้เลือดคงแข็งตัวอยู่หรือจะสลายมันนั้นย่อมต้องมีความละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนมาก ระบบนี้ทำงานอย่างไม่ผิดพลาดแม้แต่ในเรื่องรายละเอียดที่เล็กที่สุด


อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากมีปัญหาเล็กน้อยภายในระบบที่ทำงานอย่างสมบูรณ์นี้ ?ตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีการแข็งตัวในเลือดแม้แต่ภายนอกบาดแผลหรือถ้าหากก้อนเลือดสามารถแตกได้อย่างง่ายดายจากบาดแผล? คำตอบเดียวต่อคำถามนี้ก็คือ กระแสเลือดที่ไหลไปยังอวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างเช่นหัวใจ สมองและปอดก็จะถูกอุดตันด้วยก้อนเลือดซึ่งจะทำให้เสียชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ในความจริงดังที่กล่าวมานี้แสดงให้เราเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าร่างกายมนุษย์นั้นได้ถูกออกแบบมาอย่างไม่มีการผิดพลาด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายว่าระบบการแข็งตัวของเลือดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญหรือ “การวิวัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป”ดังที่ทฤษฎีแห่งการวิวัฒนาการได้ยืนยันไว้ ระบบที่ถูกสร้างและคำณวนไว้อย่างรอบคอบเช่นนี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการสร้างสรรค์อันถูกต้องสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างเราขึ้นมาและได้ให้เรามาอยู่บนโลกนี้ได้สร้างร่างกายของเราขึ้นมาด้วยระบบนี้ซึ่งคอยให้คุ้มครองเราในการได้รับบาดเจ็บหลายครั้งตลอดชีวิตของเรา


การแข็งตัวของเลือดเป็นสิ่งสำคัญไม่เพียงแต่เฉพาะบาดแผลที่มองเห็นเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญสำหรับการแตกของหลอดเลือดเล็กๆในร่างกายของของเราซึ่งเกิดขึ้นตอลดเวลา ถึงแม้เราจะไม่สังเกตเห็น แต่ในร่างกายของเราก็มีเลือดไหลเล็กๆภายในอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราชนประตูหรือนั่งลงแรงๆ หลอดเลือดเล็กๆก็จะแตก เลือดที่ไหลนี้จะหยุดทันทีโดยวิธีการของระบบที่ทำให้เลือดแข็งตัวและเส้นเลือดเล็กๆเหล่านี้ก็จะถูกทำให้เข้าสู่สภาพปกติของมันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากผลของมันรุนแรงมากไปกว่านั้นและมีเลือดไหลภายในอย่างแรงมันก็จะก่อให้เกิดรอยจ้ำสีม่วง


มนุษย์ที่ไม่มีระบบการแข็งตัวของเลือดจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เลือดไหล และคนไข้ที่ขาดระบบนี้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แม้แต่มีเลือดไหลเพียงนิดเดียวภายในร่างกายจะโดยการลื่นหรือหกล้มก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนที่ขาดระบบนี้เสียชีวิต ดังนั้น ด้วยความจริงดังที่กล่าวมา แต่ละคนควรจะพิจารณาถึงความมหัศจรรย์ในการสร้างสรรค์ภายในร่างกายของตัวเขาเองและเขาควรจะกตัญญูรู้คุณต่ออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างร่างกายของเขาขึ้นมาอย่างไม่มีที่ติ ร่างกายของเราเป็นพรประเสริฐจากพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อเรา ซึ่งแม้แต่เพียงเซลหนึ่งเราก็ไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ อัลลอฮได้ทรงกล่าวไว้แก่มนุษยชาติว่า : “เราได้สร้างสูเจ้ามา ดังนั้นไฉนสูเจ้าจึงไม่ยืนยันความจริง ?” (กุรอาน 56:57)

โดย ฮารูน ยะฮฺยา อ.บรรจง บินกาซัน แปล
คัดลอกจาก: ไทยมุสลิมช็อป

















มหัศจรรย์แห่งชั้นบรรยากาศ
เราอาศัยอยู่ในโลกที่พระผู้ทรงสร้างผู้ทรงเมตตาของเราได้ออกแบบมาอย่างเป็นเลิศ และมีความครบถ้วนสมบูรณ์อย่างน่าทึ่ง แม้แต่ในเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระองค์ ลักษณะทางกายภาพของโลกไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง อุณหภูมิและอื่นๆล้วนถูกจัดเตรียมไว้เพื่อชีวิตโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามลักษณะทางกายภาพเช่นนั้นแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้บนโลก ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับชีวิตก็คือองค์ประกอบของบรรยากาศ

ในภาพยนตร์นวนิยายทางวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่านักเดินทางในอวกาศและนักค้นคว้าจะพบดาวที่มีชั้นบรรยากาศที่สามารถหายใจได้อย่างง่ายและมีอยู่ทุกที่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถออกสำรวจจักรวาลที่แท้จริงได้ เราจะพบว่านี่มิใช่เรื่องจริงเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่ดาวดวงอื่นจะมีชั้นบรรยากาศที่สามารถหายใจได้ นั่นก็เพราะว่าบรรยากาศของโลกได้ถูกออกแบบไว้เป็นการเฉพาะเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ในหลายทางด้วยกัน

บรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจน 77% ออกซิเจน 21% และคาร์บอนไดออกไซด์ 1% ทีนี้ขอให้เรามาเริ่มด้วยแกสที่สำคัญที่สุดก่อน คือ ออกซิเจน ออกซิเจนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตมากที่สุดเพราะมันเข้าไปทำปฏิกริยาทางเคมีส่วนใหญ่ที่ให้พลังงานที่ชีวิตต้องการ

เมื่อคาร์บอนทำปฏิกริยากับออกซิเจน ผลที่ตามมาก็คือ มันทำให้มีน้ำ คาร์บอนได้ออกไซด์และพลังงาน พลังงานหน่วยเล็กๆที่ถูกเรียกว่า AIP (แอตเลโนซีน ไตรฟอสเฟต) และได้ถูกใช้ในเซลที่มีชีวิตนี้เกิดขึ้นโดยปฏิกริยานี้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องการออกซิเจนสำหรับชีวิตและทำไมเราต้องหายใจเพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิต สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือว่าเปอร์เซนต์ของออกซิเจนในอากาศที่เราหายใจเข้าไปนั้นได้ถูกกำหนดไว้อย่างถูกดต้องพอเหมาะพอดี

ไมเคิล เดินตัน (Michael Denton) ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า : “ชั้นบรรยากาศของคุณสามารถบรรจุออกซิเจนได้มากกว่านี้และยังทำให้ชีวิตมีอยู่ได้หรือไม่? ไม่เลย ออกซิเจนเป็นสารที่ทำปฏิกริยามาก แม้แต่เปอร์เซนต์ของออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ 21% ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ใกล้กับขอบเขตสูงสุดของความปลอดภัยสำหรับชีวิตที่อุณหภูมิรอบตัว ความเป็นไปได้ของการเกิดไฟไหม้ป่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ทุกๆ 1% ที่มีออกซิเจนเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ”

เจมส์ เลิฟล็อค (James Lovelock) นักเคมีชีววิทยาชาวอังกฤษได้กล่าวว่า : “กว่า 25% พืชพันธุ์ในปัจจุบันของเราน้อยมากที่จะรอดจากไฟป่าที่จะทำลายป่าฝนและทุ่งหญ้าขั้วโลกเหนือ….ระดับออกซิเจนในปัจจุบันอยู่ในจุดที่ความเสี่ยงและผลประโยชน์มีความสมดุลอย่างพอดี”


การที่อัตราส่วนของออกซิเจนในบรรยากาศยังคงอยู่ในปริมาณที่พอดีเช่นนี้นั้นเป็นผลมาจากระบบการหมุนเวียนอันมหัศจรรย์นั่นเอง

สัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่หายใจ แต่พืชกลับทำตรงข้าม กล่าวคือพืชจะหายใจเอาคาร์บอนได้ออกไซด์ที่จำเป็นต่อชีวิตของมันเข้าไปและปล่อยออกซิเจนออกมาแทน เนื่องจากระบบนี้เอง ชีวิตจึงดำเนินต่อไป พืชปล่อยออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศนับเป็นจำนวนล้านๆตันทุกวัน

บรรยากาศและการสูดหายใจเข้าออก


เราหายใจอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เรามีชีวิต ระบบร่างกายของเราถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์จนเราไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับการหายใจ

ร่างกายของเราจะประมาณการว่ามันต้องการออกซิเจนมากน้อยแค่ไหนและก็จะจัดการหาออกซิเจนมาให้ตามจำนวนนั้นไม่ว่าเราจะกำลังเดิน วิ่ง อ่านหนังสือหรือกำลังหลับ เหตุผลที่การหายใจมีความสำคัญต่อเราก็คือการทำปฏิกริยาจำนวนนับล้านที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในร่างกายเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ได้นั้นล้วนต้องการออกซิเจนทั้งสิ้น


การที่ท่านสามารถอ่านบทความชิ้นนี้ได้ก็เนื่องมาจากเซลล์นับล้านที่จอรับภาพในดวงตาของท่านได้รับพลังงานที่มาจากออกซิเจนตลอดเวลา ในทำนองเดียวกัน เนื้อเยื่อในร่างกายของเราและเซลล์ที่สร้างมันขึ้นมาก็ได้รับพลังงานจาก “การเผาไหม้” ขององค์ประกอบคาร์บอนในออกซิเจน ผลผลิตของการเผาไหม้ นั่นคือคาร์บอนได้ออกไซด์ จะต้องถูกปล่อยออกมาจากร่างกาย ถ้าระดับของออกซิเจนในกระแสเลือดของท่านลดลง ผลก็คือการหมดสติและถ้าหากการขาดออกซิเจนเกินกว่าสองสามนาที ผลก็คือการเสียชีวิต

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องหายใจ เมื่อเราหายใจ ออกซิเจนก็จะเข้าไปในห้องเล็กๆประมาณ 300 ล้านห้องในปอดของเรา ห้องเหล่านี้ในปอดและหลอดที่มีรูเล็กๆเชื่อมโยงกับมันได้ถูกออกแบบไว้ให้มีขนาดเล็กมากเพื่อที่จะเพิ่มอัตราการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนได้ออกไซด์ แต่การออกแบบอันสมบูรณ์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยเช่นกัน นั่นคือความหนาแน่น ความเหนียวและความกดอากาศจะต้องถูกต้องตรงกันทั้งหมดสำหรับอากาศที่จะเคลื่อนเข้าไปข้างในและไหลออกมาจากปอดของเรา

เมื่อเราหายใจเข้าไป ปอดของเราก็จะใช้พลังงานเพื่อเอาชนะพลังที่ถูกเรียกว่า
“แรงต้านเส้นทางอากาศ” พลังนี้เป็นผลมาจากแรงต้นของอากาศต่อการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคุณสมบัติทางด้านกายภาพของบรรยกาศ แรงต้านนี้จะอ่อนพอที่ปอดของเราสามารถสูดอากาศเข้าไปและปล่อยมันออกมาด้วยการใช้พลังงานเพียงน้อยนิด ถ้าแรงต้านอากาศสูงกว่านี้ ปอดของเราก็จะต้องทำงานหนักกว่านี้เพื่อที่จะทำให้เราหายใจได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ของเรื่องนี้ก็คือการดูดน้ำเข้าไปในเข็มฉีดยาเป็นเรื่องง่ายแต่ถ้าจะดูดน้ำผึ้งเข้าไปในเข็มฉีดยาก็จะยากกว่า เหตุผลก็เพราะน้ำผึ้งมีความหนาแน่นและมีความเหนียวมากกว่าน้ำ


ปริมาณทางด้านจำนวนของบรรยากาศไม่เพียงแต่จะจำเป็นสำหรับเราเพื่อการหายใจเข้าไปเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับโลกของเราด้วย ถ้าหากความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าปริมาณที่เป็นอยู่ของมัน อัตราการระเหยของน้ำก็จะสูงมาก น้ำที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศก็จะมี “ผลเรือนกระจก” (greenhouse effect) ที่ดักความร้อนมากขึ้นและเพิ่มอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ในทางตรงข้ามถ้าหากความกดสูงมากกว่านี้ อัตราการระเหยของน้ำก็จะน้อยลงและส่งผลให้ส่วนใหญ่ของโลกกลายเป็นทะเลทราย


ทั้งหมดที่ทำให้เกิดความสมดุลนี้ชี้ให้เห็นว่าบรรยากาศของเราได้ถูกออกแบบมาอย่างจงใจและเหมาะเจาะเพื่อให้ชีวิตบนโลกนี้สามารถดำรงอยู่ได้

นี่เป็นความจริงที่ได้ถูกค้นพบโดยวิทยาศาสตร์และมันแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าจักรวาลนี้มิได้เป็นเพียงการเกิดขึ้นโดยบังเอิญของวัตถุ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีผู้ทรงสร้างที่คอยควบคุมจักรวาล ผู้กำหนดรูปร่างของวัตถุตามที่ผู้ทรงสร้างนั้นต้องการ และพระผู้ทรงสร้างนี้อีกเช่นกันที่ปกครองกาแล็กซี่และดวงดาวต่างๆไว้ภายใต้อำนาจของพระองค์

อำนาจอันสูงสุดนั้น คัมภีร์กุรอานบอกเราว่าคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก และโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะและถูกทำให้แผ่ขยายออกไปโดยอัลลอฮฺเพื่อมนุษย์ (ดูกุรอาน 79:30)

อัลลอฮฺคือผู้ทรงทำให้แผ่นดินนี้เป็นที่พำนักของสูเจ้าและชั้นฟ้าเป็นเพดานอันมั่นคง และทรงทำให้สูเจ้าเป็นรูปร่างและทรงทำให้ร่างของสูเจ้าสวยงามและทรงประทานสิ่งที่ดีๆแก่สูเจ้า นั่นคืออัลลอฮฺพระผู้ทรงอภิบาลของสูเจ้า ดังนั้น อัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกทรงเป็นที่จำเริญยิ่ง (กุรอาน 40:64)

..................................................
โดย ฮารูน ยะฮ์ยา แปลโดยอ.บรรจง บินกาซัน , คัดลอกจาก ไทยมุสลิมช็อป
หาข้อมูลเพิ่มเติม

ไขปัญหาศาสนา : เด็กหลอดแก้ว-อุ้มบุญ-บุตรบุญธรรม-กิ๊ฟ

ทรรศนะอิสลามเกี่ยวกับเด็กหลอดแก้ว ที่หมายถึงการนำ “ไข่” จากฝ่ายหญิงและฝ่ายชายมาผสมกัน ภายนอกร่างกายเพื่อให้เกิดการปฎิสนธิขึ้น ภายใต้สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิคล้ายกับภายในร่างกาย เมื่อได้ตัวอ่อนที่เรียกว่า “นุตฟะห์” ที่สมบูรณ์ในขนาดที่เหมาะสม ก็จะนำเข้าสู่ภายในร่างกายของสตรี ที่ประสงค์จะตั้งครรภ์ เพื่อให้ฝังตัวและเจริญเติบโตเป็นทารกในโพรงมดลูกต่อไป นั่นเป็นรูปแบบทั่วไปแบบของการปฏิบัติการที่เรียกว่า “เด็กหลอดแก้ว”

ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของเด็กหลอดแก้ว พร้อมทรรศนะของนักนิติศาสตร์อิสลามที่ได้ศึกษาและค้นคว้าในเรื่องนี้ พอเป็นสังเขป

คือการที่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ไม่สามารถให้กำเหนิดบุตรได้ จึงหาหนทางที่จะมีบุตร โดยวิธีการนำ “ไข่” ของผู้หญิงอื่น และ “เชื้ออสุจิ” ของชายอื่นมาผสมในหลอดแก้วทดลอง จนปฎิสนธิเป็น “นุตฟะห์” แล้วนำกลับไปใส่ในโพรงมดลูกของภรรยา เพื่อให้ฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป จะเห็นได้ว่าวิธีนี้ เป็นการนำเอาไข่และเชื้ออสุจิของคนอื่น ที่ไม่ใช่สามีภรรยาคู่นั้น มาผสมกันเป็นเด็กหลอดแก้ว หรือโดยวิธีการเอาเชื้ออสุจิของชายอื่น ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของภรรยาเพื่อให้เกิดปฎิสนธิภายในมดลูกของภรรยา

ทั้งสองวิธีนี้ นักนิติศาสตร์อิสลาม ที่ทำการศึกษาด้านนี้ มีทรรศนะสอดคล้องกันว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ที่มุสลิมจะกระทำไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดหลักนิติศาสตร์ที่สำคัญของอิสลาม ที่ว่าด้วยการปกป้องการสืบสายโลหิต ให้มีความบริสุทธิ์ ไม่ให้มีการปะปนจนสับสนในการสืบสายโลหิต ที่เรียกว่า “ฮิฟซุ้ลนัสลิ” ซึ่งอิสลามให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จะเห็นได้จากบทบัญญัติในเรื่องการแต่งงาน และการกำหนดบทลงโทษอย่างรุนแรงในเรื่องการละเมิดประเวณี ที่เรียกว่าซินา

การนำเชื้ออสุจิของชายอื่น เข้าไปสู่โพรงมดลูก ถือว่ามีส่วนที่คล้ายกับการละเมิดประเวณีที่เรียกว่า “ซิบฮุ้ซซินา” แม้จะไม่มีบทกำหนดโทษที่แน่นอนก็ตาม เพราะยังไม่ครบองค์ประกอบของการละเมิดประเวณีจริงๆ เนื่องจากเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก โดยอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ใช่ด้วยอวัยวะสืบพันธ์ของชาย ที่เป็นเจ้าของเชื้ออสุจิ

ส่วนทารกที่เกิดมาด้วยวิธีดังกล่าว ถือว่าเป็นลูกนอกกฏหมาย ที่ภาษาอาหรับเรียกว่า “วะละดุซซินา” เพราะเกิดจากเชื้ออสุจิของคนอื่นไม่ใช่เชื้ออสุจิของสามี ซึ่งจะเกิดผลกระทบในทางศาสนาคือ ศาสนาไม่ยอมรับว่าเป็นบุตรของผู้ที่เป็นสามีของหญิงนั้น ในฐานะเป็นบิดาไม่ได้ และสามีของหญิงคนนั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่เรียกว่า “วลี” ในการแต่งงานลูกหลอดแก้วไม่ได้ ในกรณีลูกหลอกแก้วเป็นหญิง และมีผลกระทบในเรื่องการอยู่ร่วมปะปนอีกด้วย และยังมีผลกระทบทางด้านจิตใจ ระหว่างเด็กหลอดแก้วและพ่อแม่เทียมของตนอีกด้วย ถ้าหากสามีภรรยาคู่นั้นไม่ สามารถอบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนดีได้ หรือถ้าหากเขามีนิสัยเกเร ก็อาจหลุดปากออกไปว่า “ไม่รู้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร” เป็นต้น ดังนั้นอิสลามจึงห้ามการได้ลูกมาด้วยวิธีดังกล่าว
การอุ้มบุญ ศาสนาอนุญาติหรือไม่


การอุ้มบุญ หมายถึง สามีภรรยาคู่หนึ่งอยากมีลูก แต่ภรรยามีมดลูกไม่ดี ใช้การไม่ได้ หรือไม่มีมดลูก แต่มีรังไข่ทำงานได้ดี เมื่อต้องการจะมีลูก ก็ต้องอาศัยมดลูกของสตรีอื่น มาอุ้มลูกแทน กรณีนี้รู้จักกันในนาม “อุ้มบุญ” วิธีการคือ นำไข่ของภรรยาและเชื้อของสามี มาผสมกันในหลอดทดลอง จนเกิดปฏิสนธิกันภายนอกร่างกาย แล้วนำตัวอ่อนไปใส่ในโพรงมดลูกของสตรีอีกคนหนึ่ง ที่เป็นอุ้มบุญ ที่อาจเป็นผู้รับจ้างตั้งครรภ์ หรืออาสาสมัครตั้งครรภ์ให้โดยไม่คิดค่าจ้าง

นักนิติศาสตร์อิสลาม ได้ให้ทรรศนะในเรื่องนี้ว่า เป็นสิ่งที่ต้องห้าม จะกระทำไม่ได้ เพราะจะกระทำให้การสืบสายโลหิต เกิดความสับสนและปะปนกัน จนไม่รู้ว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริง จะเรียกเจ้าของไข่และเชื้ออสุจิ ว่าเป็นใคร และจะเรียกหญิงที่รับตั้งท้องให้ ว่าเป็นใคร จะใช้นามสกุลของใคร จะรับมรดกจากใคร ใครจะเป็นผู้ปกครองในการแต่งงาน จะมีปัญหาเกิดขึ้นติดตามมาจากการกระทำเช่นนี้ ศาสนาจึงห้าม เพื่อรักษาสืบสายโลหิตให้สะอาดบริสุทธิ์ รู้ว่าเป็นลูกของใคร ใครเป็นพ่อเป็นแม่ที่แท้จริง
สามีภรรยาที่ไม่อาจมีบุตรได้ จะขอเด็กมาจดทะเบียน รับเป็นบุตรบุญธรรม ได้หรือไม่?


นอกจากอิสลามจะห้ามการมีลูกด้วยวิธีอุ้มบุญแล้ว อิสลามยังห้ามการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมอีกด้วย เพราะการรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม เป็นการสถาปนาสายโลหิตขึ้นระหว่างบุตบุญธรรม กับพ่อแม่บุญธรรมอย่างจอมปลอมที่ศาสนาไม่ได้ให้การรับรอง เพราะเป็นการนำคนอื่นมาเป็นบุตร ที่จะมีสิทธิ์ในกองมรดก ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ และจะต้องมีหน้าที่จ่ายค่าเลี้ยงดูแก่พ่อแม่บุญธรรมเข้ามาอยู่ร่วมปะปนในครอบครัว ทั้งที่ศาสนาไม่อนุญาต อัลลอฮฺตาอาลาได้ตรัสไว้ว่า “และพระองค์ไม่ได้ดลบันดาลให้บุตรบุญธรรมของพวกเจ้า เป็นบุตรของพวกเจ้าจริงๆ นั่นเป็นเพียงคำพูดด้วยลมปากของพวกเจ้า”

การที่อิสลาม ห้ามรับจดทะเบียนบุตรบุญธรรม ไม่ได้หมายความว่าอิสลามห้ามให้ความเอาใจใส่ และสงเคราะห์เด็กกรำพร้าหรือเด็กด้อยโอกาสต่างๆ ตรงกันข้ามอิสลามได้วางแนวทางในการให้ความช่วยเด็กกรำพร้า และเด็กด้อยโอกาสเป็นอย่างดี โดกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องร่วมกันรับผิดชอบ มุสลิมทุกคนจะต้องมีบาป ถ้าหากมีเด็กที่ถูกทอดทิ้งแม้เพียงคนเดียว ถูกปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่ จนกลายเป็นเด็กจรจัด
มีคำถามอีกว่า สามีภรรยาที่มีลูกยาก แต่ต้องการจะมีลูกจะใช้วิะทำกิ๊ฟ ได้หรือไม่?


กิ๊ฟ เป็นขบวนการช่วยให้เกิดการปฏิสนธิขึ้นภายในร่างกายโดยตรง โดยการเจาะท้องส่องกล้อง และสอดใส่สายพลาสติกผ่านหน้าท้องทางรูเล็กๆ นำเชื้ออสุจิของสามีให้เข้าไปผสมรวมกับไข่ของภรรยาที่ท่อนำไข่ แต่จะเกิดปฏิสนธิขึ้นหรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ จนกว่าจะได้ทดสอบผลเลือดเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์

นักนิติศาสตร์อิสลามมีทรรรศนะแตกต่างกันในการกระทำเช่นนี้ถึง 5 ทรรศนะคือ

(1) ห้ามกระทำโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

(2) อนุญาตให้กระทำได้ภายใต้เงื่อนไข

(3) อนุญาตให้กระทำได้ หากเป็นการช่วยให้เกิดปฏิสนธิขึ้นภายในร่างกาย และไม่อนุญาตให้กระทำ หากเป็นการนำไข่ของภรรยาและเชื้ออสุจิของสามีออกมาผสมนอกร่างกาย ภายหลังปฏิสนธิแล้ว

(4) ไม่ออกความเห็น

(5) เป็นเรื่องจำเป็นเฉพาะราย ไม่อนุญาตให้นำเรื่องนี้ไปพูดในวงกว้างต่อสาธารณะชน ให้ผู้มีความจำเป็นต้องการมีบุตรจริงๆ ไปปรึกษากับผู้รู้ที่เชื่อถือได้ เพื่อได้ความกระจ่างในเรื่องนี้

นั่นคือทรรศนะหลากหลาย ของนักนิติศาสตร์อิสลาม ในเรื่องการทำกิ๊ฟสำหรับคู่สามีภรรยาที่มีลูกยากและต้องการมีลูก ซึ่งมีทั้งทรรศนะที่ห้าม และอนุญาตให้กระทำได้ภายใต้เงื่อนไขและให้พิจารณาความจำเป็นของแต่ละราย และยังมีการพิจารณาถึงการได้มาของเชื้ออสุจิด้วยว่า ได้มาด้วยหนทางที่ศาสนารับรองหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการอนุญาตให้กระทำโดยปราศจากเงื่อนไข อัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง
โดย : อ.อรุณ บุญชม คัดลอกจาก :
www.darulmuslimeen.com