1

1
2

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไขปัญหาศาสนา : เด็กหลอดแก้ว-อุ้มบุญ-บุตรบุญธรรม-กิ๊ฟ

ทรรศนะอิสลามเกี่ยวกับเด็กหลอดแก้ว ที่หมายถึงการนำ “ไข่” จากฝ่ายหญิงและฝ่ายชายมาผสมกัน ภายนอกร่างกายเพื่อให้เกิดการปฎิสนธิขึ้น ภายใต้สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิคล้ายกับภายในร่างกาย เมื่อได้ตัวอ่อนที่เรียกว่า “นุตฟะห์” ที่สมบูรณ์ในขนาดที่เหมาะสม ก็จะนำเข้าสู่ภายในร่างกายของสตรี ที่ประสงค์จะตั้งครรภ์ เพื่อให้ฝังตัวและเจริญเติบโตเป็นทารกในโพรงมดลูกต่อไป นั่นเป็นรูปแบบทั่วไปแบบของการปฏิบัติการที่เรียกว่า “เด็กหลอดแก้ว”

ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของเด็กหลอดแก้ว พร้อมทรรศนะของนักนิติศาสตร์อิสลามที่ได้ศึกษาและค้นคว้าในเรื่องนี้ พอเป็นสังเขป

คือการที่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ไม่สามารถให้กำเหนิดบุตรได้ จึงหาหนทางที่จะมีบุตร โดยวิธีการนำ “ไข่” ของผู้หญิงอื่น และ “เชื้ออสุจิ” ของชายอื่นมาผสมในหลอดแก้วทดลอง จนปฎิสนธิเป็น “นุตฟะห์” แล้วนำกลับไปใส่ในโพรงมดลูกของภรรยา เพื่อให้ฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป จะเห็นได้ว่าวิธีนี้ เป็นการนำเอาไข่และเชื้ออสุจิของคนอื่น ที่ไม่ใช่สามีภรรยาคู่นั้น มาผสมกันเป็นเด็กหลอดแก้ว หรือโดยวิธีการเอาเชื้ออสุจิของชายอื่น ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของภรรยาเพื่อให้เกิดปฎิสนธิภายในมดลูกของภรรยา

ทั้งสองวิธีนี้ นักนิติศาสตร์อิสลาม ที่ทำการศึกษาด้านนี้ มีทรรศนะสอดคล้องกันว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ที่มุสลิมจะกระทำไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดหลักนิติศาสตร์ที่สำคัญของอิสลาม ที่ว่าด้วยการปกป้องการสืบสายโลหิต ให้มีความบริสุทธิ์ ไม่ให้มีการปะปนจนสับสนในการสืบสายโลหิต ที่เรียกว่า “ฮิฟซุ้ลนัสลิ” ซึ่งอิสลามให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จะเห็นได้จากบทบัญญัติในเรื่องการแต่งงาน และการกำหนดบทลงโทษอย่างรุนแรงในเรื่องการละเมิดประเวณี ที่เรียกว่าซินา

การนำเชื้ออสุจิของชายอื่น เข้าไปสู่โพรงมดลูก ถือว่ามีส่วนที่คล้ายกับการละเมิดประเวณีที่เรียกว่า “ซิบฮุ้ซซินา” แม้จะไม่มีบทกำหนดโทษที่แน่นอนก็ตาม เพราะยังไม่ครบองค์ประกอบของการละเมิดประเวณีจริงๆ เนื่องจากเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก โดยอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ใช่ด้วยอวัยวะสืบพันธ์ของชาย ที่เป็นเจ้าของเชื้ออสุจิ

ส่วนทารกที่เกิดมาด้วยวิธีดังกล่าว ถือว่าเป็นลูกนอกกฏหมาย ที่ภาษาอาหรับเรียกว่า “วะละดุซซินา” เพราะเกิดจากเชื้ออสุจิของคนอื่นไม่ใช่เชื้ออสุจิของสามี ซึ่งจะเกิดผลกระทบในทางศาสนาคือ ศาสนาไม่ยอมรับว่าเป็นบุตรของผู้ที่เป็นสามีของหญิงนั้น ในฐานะเป็นบิดาไม่ได้ และสามีของหญิงคนนั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่เรียกว่า “วลี” ในการแต่งงานลูกหลอดแก้วไม่ได้ ในกรณีลูกหลอกแก้วเป็นหญิง และมีผลกระทบในเรื่องการอยู่ร่วมปะปนอีกด้วย และยังมีผลกระทบทางด้านจิตใจ ระหว่างเด็กหลอดแก้วและพ่อแม่เทียมของตนอีกด้วย ถ้าหากสามีภรรยาคู่นั้นไม่ สามารถอบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนดีได้ หรือถ้าหากเขามีนิสัยเกเร ก็อาจหลุดปากออกไปว่า “ไม่รู้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร” เป็นต้น ดังนั้นอิสลามจึงห้ามการได้ลูกมาด้วยวิธีดังกล่าว
การอุ้มบุญ ศาสนาอนุญาติหรือไม่


การอุ้มบุญ หมายถึง สามีภรรยาคู่หนึ่งอยากมีลูก แต่ภรรยามีมดลูกไม่ดี ใช้การไม่ได้ หรือไม่มีมดลูก แต่มีรังไข่ทำงานได้ดี เมื่อต้องการจะมีลูก ก็ต้องอาศัยมดลูกของสตรีอื่น มาอุ้มลูกแทน กรณีนี้รู้จักกันในนาม “อุ้มบุญ” วิธีการคือ นำไข่ของภรรยาและเชื้อของสามี มาผสมกันในหลอดทดลอง จนเกิดปฏิสนธิกันภายนอกร่างกาย แล้วนำตัวอ่อนไปใส่ในโพรงมดลูกของสตรีอีกคนหนึ่ง ที่เป็นอุ้มบุญ ที่อาจเป็นผู้รับจ้างตั้งครรภ์ หรืออาสาสมัครตั้งครรภ์ให้โดยไม่คิดค่าจ้าง

นักนิติศาสตร์อิสลาม ได้ให้ทรรศนะในเรื่องนี้ว่า เป็นสิ่งที่ต้องห้าม จะกระทำไม่ได้ เพราะจะกระทำให้การสืบสายโลหิต เกิดความสับสนและปะปนกัน จนไม่รู้ว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริง จะเรียกเจ้าของไข่และเชื้ออสุจิ ว่าเป็นใคร และจะเรียกหญิงที่รับตั้งท้องให้ ว่าเป็นใคร จะใช้นามสกุลของใคร จะรับมรดกจากใคร ใครจะเป็นผู้ปกครองในการแต่งงาน จะมีปัญหาเกิดขึ้นติดตามมาจากการกระทำเช่นนี้ ศาสนาจึงห้าม เพื่อรักษาสืบสายโลหิตให้สะอาดบริสุทธิ์ รู้ว่าเป็นลูกของใคร ใครเป็นพ่อเป็นแม่ที่แท้จริง
สามีภรรยาที่ไม่อาจมีบุตรได้ จะขอเด็กมาจดทะเบียน รับเป็นบุตรบุญธรรม ได้หรือไม่?


นอกจากอิสลามจะห้ามการมีลูกด้วยวิธีอุ้มบุญแล้ว อิสลามยังห้ามการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมอีกด้วย เพราะการรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม เป็นการสถาปนาสายโลหิตขึ้นระหว่างบุตบุญธรรม กับพ่อแม่บุญธรรมอย่างจอมปลอมที่ศาสนาไม่ได้ให้การรับรอง เพราะเป็นการนำคนอื่นมาเป็นบุตร ที่จะมีสิทธิ์ในกองมรดก ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ และจะต้องมีหน้าที่จ่ายค่าเลี้ยงดูแก่พ่อแม่บุญธรรมเข้ามาอยู่ร่วมปะปนในครอบครัว ทั้งที่ศาสนาไม่อนุญาต อัลลอฮฺตาอาลาได้ตรัสไว้ว่า “และพระองค์ไม่ได้ดลบันดาลให้บุตรบุญธรรมของพวกเจ้า เป็นบุตรของพวกเจ้าจริงๆ นั่นเป็นเพียงคำพูดด้วยลมปากของพวกเจ้า”

การที่อิสลาม ห้ามรับจดทะเบียนบุตรบุญธรรม ไม่ได้หมายความว่าอิสลามห้ามให้ความเอาใจใส่ และสงเคราะห์เด็กกรำพร้าหรือเด็กด้อยโอกาสต่างๆ ตรงกันข้ามอิสลามได้วางแนวทางในการให้ความช่วยเด็กกรำพร้า และเด็กด้อยโอกาสเป็นอย่างดี โดกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องร่วมกันรับผิดชอบ มุสลิมทุกคนจะต้องมีบาป ถ้าหากมีเด็กที่ถูกทอดทิ้งแม้เพียงคนเดียว ถูกปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่ จนกลายเป็นเด็กจรจัด
มีคำถามอีกว่า สามีภรรยาที่มีลูกยาก แต่ต้องการจะมีลูกจะใช้วิะทำกิ๊ฟ ได้หรือไม่?


กิ๊ฟ เป็นขบวนการช่วยให้เกิดการปฏิสนธิขึ้นภายในร่างกายโดยตรง โดยการเจาะท้องส่องกล้อง และสอดใส่สายพลาสติกผ่านหน้าท้องทางรูเล็กๆ นำเชื้ออสุจิของสามีให้เข้าไปผสมรวมกับไข่ของภรรยาที่ท่อนำไข่ แต่จะเกิดปฏิสนธิขึ้นหรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ จนกว่าจะได้ทดสอบผลเลือดเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์

นักนิติศาสตร์อิสลามมีทรรรศนะแตกต่างกันในการกระทำเช่นนี้ถึง 5 ทรรศนะคือ

(1) ห้ามกระทำโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

(2) อนุญาตให้กระทำได้ภายใต้เงื่อนไข

(3) อนุญาตให้กระทำได้ หากเป็นการช่วยให้เกิดปฏิสนธิขึ้นภายในร่างกาย และไม่อนุญาตให้กระทำ หากเป็นการนำไข่ของภรรยาและเชื้ออสุจิของสามีออกมาผสมนอกร่างกาย ภายหลังปฏิสนธิแล้ว

(4) ไม่ออกความเห็น

(5) เป็นเรื่องจำเป็นเฉพาะราย ไม่อนุญาตให้นำเรื่องนี้ไปพูดในวงกว้างต่อสาธารณะชน ให้ผู้มีความจำเป็นต้องการมีบุตรจริงๆ ไปปรึกษากับผู้รู้ที่เชื่อถือได้ เพื่อได้ความกระจ่างในเรื่องนี้

นั่นคือทรรศนะหลากหลาย ของนักนิติศาสตร์อิสลาม ในเรื่องการทำกิ๊ฟสำหรับคู่สามีภรรยาที่มีลูกยากและต้องการมีลูก ซึ่งมีทั้งทรรศนะที่ห้าม และอนุญาตให้กระทำได้ภายใต้เงื่อนไขและให้พิจารณาความจำเป็นของแต่ละราย และยังมีการพิจารณาถึงการได้มาของเชื้ออสุจิด้วยว่า ได้มาด้วยหนทางที่ศาสนารับรองหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการอนุญาตให้กระทำโดยปราศจากเงื่อนไข อัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง
โดย : อ.อรุณ บุญชม คัดลอกจาก :
www.darulmuslimeen.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น